Sunday, February 20, 2011

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 10 เหี้ยมยิ่งกว่า

"แนวสะกดจิตเรื่องใหม่:แค้นวิปริต จิตสั่งกาม"

โดย
โทรจิตคุง Palm-Plaza.com Forum

ตอนที่ 10 เหี้ยมยิ่งกว่า

“อยากได้ไหมครับน้องเก่ง” ผมถามน้องเก่งที่กำลังมองกล่องตัวต่อปราสาทของเล่นอย่างใจจดใจจ่อ


“ไม่เอาคับ” น้องเก่งตอบ


“เดี๋ยว อาซื้อให้” ใจผมอยากซื้อของเล่นให้น้องเก่งเป็นของฝากซักชุด อีกด้านหนึ่งก็คงเป็นการชดเชยสิ่งที่ตนขาดหายในวัยเด็กทดแทนให้ลูกชายเพื่อน ของเล่นเสริมสร้างจินตนาการสมัยนี้ดูล่อตาล่อใจน่าสะสมเหลือเกิน น่าเสียดายที่ผมเพิ่งพ้นวัยเรียน ๆ เล่น ๆ ไปเมื่อไม่นานนี้เอง


“อา ภูมิสอนว่า ถ้ามีคนให้ของ ต้องหาอย่างอื่นมาแลกเปลี่ยนคับ” น้องเก่งพูดคล่องและใช้คำศัพท์สื่อความคิดได้ลึกซึ้งกว่าเด็กทั่วไปโดย เฉลี่ย ไม่แปลกเลย ก็ภูมิเป็นคนเลี้ยงนี่นา


“กล่องใหญ่แบบนี้ เก่งจะหาอะไรมาแลกล่ะคับอาเต๋อ”


“เอาแบบนี้ไหมครับ วาดรูปให้อาสักรูปก็พอ เก่งชอบวาดรูปอยู่แล้วนิ ถือว่าทำงานแลกตัวต่อไงครับ” ผมยื่นข้อเสนอ


“รูปอะไรดีคับ” เด็กน้อยเริ่มสนใจเจรจาต่อรอง มันต้องให้ได้อย่างนี้สิถึงสมเป็นลูกเจ้าภูมิ หัวไวจริง ๆ


“รูป อะไรก็ได้ที่น้องเก่งอยากวาดให้อา แต่ตอนนี้เราซื้อของก่อนดีกว่านะ จะได้ไปหาอย่างอื่นทำกัน” ผมมัดมือชก จัดการหอบตัวต่อปราสาทกล่องใหญ่ที่สุดส่งให้แคชเชียร์คิดเงิน มั่นใจว่าเด็กฉลาดอย่างน้องเก่งคงประกอบปราสาทอัศวินมังกรสำเร็จตามภาพ ตัวอย่างหน้ากล่องได้ไม่ยากเย็นนัก ดีไม่ดีมีเจ้าภูมิอยู่ด้วยคงจะสอนให้คิดนอกกรอบ ออกแบบนอกเหนือไปจากของเดิมด้วยซ้ำ


ผม ขออนุญาตภูมิพาน้องเก่งมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าหลังโรงเรียนเลิก โดยส่วนตัวอาจจะไม่ชอบเด็กดื้อหรือที่เรียกภาษาปากว่า “เด็กเปรต” ซักเท่าไหร่ แต่สำหรับน้องเก่งผมเต็มร้อย เนื่องด้วยวุฒิภาวะและจรรยามารยาทที่สูงเกินเด็กวัยไล่เลี่ยกัน ดังนั้น ความรู้สึกเอ็นดูจึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องให้พ่อแม่สาธยาย สรรพคุณ ปราสาทอัศวินมังกรหลังนี้จึงถือเป็นรางวัลสำหรับเด็กดีอยู่ในโอวาท


หลัง จากซื้อของเล่นชุดใหญ่แล้ว เราพากันไปทานแฮมเบอร์เกอร์และไก่ทอดที่ร้านฟาสต์ฟู้ด ผมเลือกร้านนี้เพราะมีบรรยากาศเป็นมิตรกับเด็ก ทั้งมุมสนามเด็กเล่นแบบมินิ ชุดอาหารเด็ก และการตกแต่งร้านที่ดูสดใสสบายตา ทว่าร้านนี้ก็ยังคงมีกลุ่มลูกค้าทั่วไปเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน บางครั้งเราจึงอาจพบเห็นปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างลูกค้าทั่วไปและบุตร หลานลูกค้าคนอื่น
.
.
.
เช่นเหตุที่เกิดขึ้นต่อไปนี้
.
.
สาว ออฟฟิศผมซอยสั้นแต่งตัวนำสมัยกำลังใช้ความพยายามอย่างสูงในการแยกประสาท สัมผัสเพื่อสั่งอาหารและแชทโต้ตอบผ่านมือถือในคราเดียวกัน รอยยิ้มฉีกกว้างบ่งบอกว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่มีผลกับต่อมรับรู้ของเธอ ณ เวลานี้


“กาแฟร้อนได้แล้วค่ะ” พนักงานส่งถ้วยกาแฟหอมกรุ่นให้ สาวนักแชทคว้าหมับเดินกลับไปโดยไม่เอ่ยแม้เพียงคำขอบคุณ


“คิก ๆ ๆ” ใบหน้าเธอยังคงเปื้อนยิ้มจากข้อความที่โต้ตอบอย่างเพลินมือ มือข้างหนึ่งถือถ้วยกาแฟไว้หลวม ๆ


“ว๊าย! ระวัง!” พนักงานร้องลั่น สาวออฟฟิศเดินชนน้องเก่งซึ่งกำลังจะเดินไปมุมสนามเด็กเล่น กาแฟร้อนหกไหลกระจายเต็มพื้น


“น้อง เก่ง!!?” ผมตกใจร้อง ตายละวา ถ้าลูกเขาบาดเจ็บจะมีหน้าไปคุยกับพ่อแม่เขาไหมเนี่ย ทั้งผมและพนักงานลุกขึ้นไปดูเนื้อตัวน้องเก่งพร้อมกัน โชคดีที่ไม่โดนกาแฟลวก


“นี่! ดูแต่เด็กกันอยู่ได้ ไม่มีใครสนใจฉันบ้างรึไง!” เธอโพล่งขึ้นขัดจังหวะอย่างไม่สบอารมณ์


“คุณ ครับ เดินไปแชทไปไม่ดูทางแบบนี้อันตรายทั้งกับตัวเองและคนอื่นนะครับ” ผมขมวดคิ้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้สุภาพที่สุด


“ก็เด็กมันเดินมาชนเอง! กาแฟพี่หกเรี่ยราดเลยน้องเห็นไหม ลูกใครเนี่ย!?”


“หลาน ผมเองครับ” ผมพูดพลางใช้มือลูบหัวน้องเก่งซึ่งเข้าใจว่าคงขวัญเสีย แต่ดูเหมือนเจ้าหนูจะงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าว่าทำไมต้องเสียงดัง ใส่กัน


“หลานน้องเหรอ เลี้ยงดูยังไงปล่อยให้มาเดินซนไปทั่ว แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” เธอรัวพ่นความหงุดหงิดออกมาเป็นชุด


“แต่หนูเห็นนะคะว่าน้องเขาเดินหลบพี่แล้ว แต่พี่มองไม่เห็นเลยเข้าไปชน” พนักงานสาวออกตัวเป็นพยานให้


“เธอ น่ะเป็นแค่พนักงาน หุบปากไปเลย! ไม่งั้นฉันจะร้องเรียนว่าสาขานี้บริการห่วยแตก แถมสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวลูกค้า” สาวผมสั้นเอ็ดดังขึ้น จนกลายเป็นจุดรวมสายตาของคนในร้าน พนักงานสาวได้ยินดังนั้นก็อ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก


“ให้ หลานน้องขอโทษพี่ซะ จะได้ไม่เคยตัว” เธอชี้กร้าวไปยังน้องเก่ง นี่ถ้าปลายนิ้วชี้แตะถึงหน้าผากน้องล่ะก็สาบานได้ว่าผมเอาเธอตายแน่ ได้แต่กัดฟันกรอดและกำลังคิดว่าจะเอายังไงกับแม่คนนี้ดี


“หลานผมไม่ผิดนะ!” ผมขึ้นเสียงเถียงคืนบ้าง


“นี่ ตกลงกันดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม! หรือจะให้ฉันด่าเสียหมาทั้งเธอทั้งหลาน!” ความเกรี้ยวกราดพุ่งถึงจุดเดือด เธอเท้าสะเอวชี้หน้าจิกทั้งผมและน้องเก่ง ไม่เหลือคราบความเป็นสาวออฟฟิศ แบบนี้ไม่ต่างจากวิญญาณแม่ค้าปากตลาดเข้าสิงร่าง


สิ้นสุดกันแค่นี้ ผมจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป แม่นี่ต้องอับอายจนแทรกแผ่นดินหนี!
.
.
.
.
.
"ผมขอโทษคับ"


น้องเก่งยกมือโค้งตัวไหว้


กระแสจิตของผมระงับลงทันควัน ทำไมน้องเก่งต้องทำแบบนี้ ก็ผมกำลังจะจัดการปัญหาให้แล้วไง?


“ฮึ เห็นมะ! แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง!” เธอคว้ากระเป๋าถือหันขวับสะบัดเอวออกไปจากร้านเมื่อได้เห็นสิ่งที่พอใจ


“เดี๋ยว! มันยังไม่จบ!” ผมตั้งท่าจะเดินตามออกไป แต่น้องเก่งกอดขารั้งผมไว้


“พอเถอะคับอาเต๋อ เก่งอยากกลับบ้านแล้ว”


“น่า. . . น้องเก่ง ขอเวลาอานิดเดียว” ผมพยายามแกะมือน้องเก่งออก จะปล่อยไปง่าย ๆ ได้ไง คนทุเรศอย่างนั้นสมควรได้รับบทเรียนซะบ้าง
.
.
.
ขณะ ผมกำลังหาทางปลีกตัวออกจากน้องเก่ง จู่ ๆ ก็มีถ้วยไอศกรีมซันเดสีสดสวยยื่นผ่านหน้าจนผมต้องระงับกิริยาว้าวุ่นเพื่อ รักษาบุคลิกต่อหน้าผู้อื่น


“เอ้าหนู ลุงให้” ชายวัยกลางคนไว้หนวดยื่นถ้วยไอศกรีมส่งถึงมือน้องเก่ง เด็กน้อยรับไว้อย่างฉงน


“เมื่อกี้ ลุงก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่หนูมีความเป็นลูกผู้ชายมากรู้ไหม บางครั้งเราก็ควรลดการยึดมั่นถือมั่นลงบ้าง ปัญหาจะได้ไม่บานปลายกว่ากว่าเดิม เขาเรียก แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร”


“คุณ สอนหลานได้ถูกต้องแล้วนะ อายุยังน้อยแท้ ๆ หายากนะคนที่เลี้ยงเด็กเป็นในสมัยนี้น่ะ” ผมได้แต่ยิ้มรับ แต่ในใจซ่อนด้วยความคุ่นเขือง แน่ละ ก็มันขัดกับปรัชญาสสารนิยม Action = Reaction ของผมนี่นา


“อีก อย่างนะ คนแบบนั้นสักวันก็เจอดีกับตัวเข้าเองแหละ เวรกรรมมีจริง เราปล่อยให้กรรมจัดสรรเองดีกว่า อย่าเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบ่วงกรรมเลย” ลุงแปลกหน้าเริ่มจ้อยาวเกินงาม ผมจึงรีบแทรกตัดบทก่อนที่ตาลุงนี่จะยกพระไตรปิฎกทั้งตู้มาให้อ่าน


“น้องเก่ง ลุงเขาให้ไอศกรีมนะ ต้องทำยังไงครับ”


“ขอบคุณคับคุณลุง” น้องเก่งโค้งไหว้อีกครั้ง.
.
.
.
ก่อน ออกจากร้านผมเห็นพนักงานสาวชูนิ้วโป้งส่งให้เรา ทำให้ผมแอบฉุกคิดขึ้นมาเล็ก ๆ ว่า บางทีผู้ชนะที่แท้จริงอาจเป็นน้องเก่งอย่างที่ลุงแปลกหน้าพูดไว้ก็ได้


ณ ลานจอดรถข้างห้างสรรพสินค้า สาวออฟฟิศผมสั้นเจ้าอารมณ์กำลังมองหารถตัวเอง ปากคุยโทรศัพท์เพลินลิ้น


“นี่แก ๆ ไม่อยากจะคุย เมื่อกี้น้องใหม่ที่ทำงานโทรชวนฉันไปกินข้าวเที่ยงพรุ่งนี้ด้วยล่ะ หล่อเริ่ดไฮโซมากเลยแก”


“โถ นึกว่าเรื่องอะไร อีเฟิร์นเอ้ย แรดคงเส้นคงวานะหล่อน” ปลายสายตอบรับ


“เอ๊า ก็คนมันสวยช่วยไม่ได้ เรตติ้งยังดีแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย หายหงุดหงิดเลย”


“หงุดหงิดจากไหนอีกล่ะ เรื่องเยอะนะหล่อนน่ะ” ดูเหมือนปลายสายจะคุ้นชินกับเพื่อนจอมเหวี่ยงคนนี้เป็นอย่างดี


“แหม จะหงุดหงิดอะไรซะอีกล่ะ ก็เรื่องเหวี่ยงใส่อีเด็กบ้าที่ทำกาแฟหกไง จะให้รีเพลย์อีกรอบก็ได้นะ สะใจสุด ๆ แกต้องมาเห็นหน้าอีอามันตอนรู้ตัวว่าเอาเรื่องฉันไม่ได้ ฉันเชิ่ดสะบัดก้นใส่หน้ามันไปเลย คิก ๆ ๆ”


“ฉันถามแกหน่อยเถอะเฟิร์น แกเหวี่ยงใส่คนนู้นคนนี้ไปทั่ว ไม่กลัวสักวันจะเจอคนจริงเข้าเหรอ”


“วุ้ย! ใครจะกล้า เกิดเป็นผู้หญิงได้เปรียบจะตาย ใครหือด่ากลับไอ้หน้าตัวเมียมันก็หายซ่าแล้ว”


“เออ ๆ ระวังตัวหน่อยล่ะ ฉันเป็นห่วงแกนะเว้ย”


“อุ๊ย! แก! เจอผู้ชายหล่อมาก ขาวตี๋เกาหลีใส่แว่น ขอส่องก่อน กรี๊ด ๆ” หญิงสาวตัดบทเปลี่ยนเรื่องอย่างเร็วไว


ถัด จากจุดที่สาวจอมเหวี่ยงยืนอยู่ราวสิบเมตร มีชายคนหนึ่งนั่งบริเวณที่พักสำหรับสูบบุหรี่ แต่เขาไม่สูบบุหรี่ ท่าทางเหมือนกำลังรอใครสักคน หญิงสาวมองจากระยะห่างด้วยความเขินอาย


“อยากให้แกมาเห็นกับตา หล่อมาก ๆ เหมาะเป็นพ่อของลู...โอ๊ย!!”


“เป็นอะไรอีเฟิร์น!” ปลายสายร้องถามด้วยความตกใจ


เธอต้องเบิกตาค้างเมื่อพบว่าเลือดไหลออกจากปากไม่หยุด เมื่อก้มมองลงเสื้อผ้าก็มีแต่ร่องรอยเปรอะเปื้อนเลือด


ขา กรรไกรของเธอถูกง้างด้วยพลังงานบางอย่าง ซึ่งเธอก็มองไม่เห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ สัญชาตญาณบอกกับตัวเธอว่านี่ต้องไม่ใช่อุบัติเหตุ มีใครบางคนจัดการเธออย่างไม่ปรานี แต่ก็ป่วยการที่ผู้หญิงตัวคนเดียวจะฝืนแรงต้าน ฟันทุกซี่ถูกถอนออกมาพร้อมกัน กระเด็นร่วงกราวเต็มพื้นโดยมีเลือดแดงฉานเป็นฉากหลัง


“งั่ก ก ก ๆ ๆ” หญิงสาวล้มลงดีดดิ้น เธอไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดใด ๆ ได้ในเวลานี้ สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส


“เฟิร์น! เฟิร์น! แกเป็นอะไร!” ปลายสายยังคงตื่นกลัวที่ไม่สามารถล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อน


“ถ้า เธอรู้ว่าบนโลกนี้มีผู้มีพลังพิเศษเช่นพวกเราอยู่ เธอคงระวังคำพูดมากขึ้น ” ชายบนม้านั่งรำพึงกับตัวเอง ไม่ใยดีต่อเพื่อนร่วมโลกที่นอนโอดครวญ


“ลบหลู่พวกเราคนหนึ่งก็เหมือนทำกับคนทั้งตระกูล โชคร้ายที่เธอรอดมาจากเจ้านั่น ถึงต้องเจอฉันซึ่งร้ายกว่า”


“เพราะ ยังไงซะ ยอมแก้ผ้าอนาจารคงยังดีกว่าถูกถอนฟันหมดปากละนะ หึ หึ หึ” เขาลุกขึ้นจากม้านั่ง หันหลังให้หญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย ทิ้งให้นอนทุรนทุรายอยู่กับบทลงโทษน่าขนลุก


“อ้อ. . .เกือบลืม” จู่ ๆ เขาหยุดกึกเหมือนนึกบางอย่างได้ ยื่นมือไปทางโทรศัพท์ที่หล่นกับพื้น
.
.
.
“เฟิร์น แกอำฉันรึเปล่า!? นี่มันไม่ตลกนะเว้ย!? พูดอะไรบ้างสิ!. . . . .ตูม!!!” โทรศัพท์แชทเจ้าปัญหาถูกบดขยี้แตกกระจายราวกับมีก้อนหินขนาดยักษ์หล่นทับ
.
.
.
“นิสัย ไม่น่ารักก็อย่าใช้โทรศัพท์แบบนี้เลยนะ” ชายลึกลับขยับกรอบแว่นเข้าที่แล้วจึงจากไป. . . . บทเพลงคลาสสิคบรรเลงกล่อมเกลาจิตใจเล็ดลอดจากห้างถึงลานจอดรถ ช่างตัดกับเหตุการณ์สยองขวัญที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง รสอันขัดแย้งกลับผสมกลมกลืนลงตัวเหมือนผลไม้เปรี้ยวฝาดชุบด้วยช็อกโกแลตหอม หวาน

ผมกลับมาส่งน้องเก่ง ถึงห้องเช่าเวลาสองทุ่มเศษ น้องเก่งรีบวาดรูปให้ผมตามคำสัญญาก่อนต้องจากกันไปในรถ ผมจึงใช้โอกาสนี้ขอดูผลลัพธ์แผนที่วางไว้ ใช้ตาทิพย์และโทรจิตเข้าไปดูภายในห้องของภูมิ
.
.
.
ทั้งสองกำลังนั่งุคยกัน ภูมิลูบผมพลอยเหมือนปลอบเด็กตัวเล็ก ๆ


“พลอยขอโทษนะภูมิ พลอยผิดไปแล้ว” เธอสะอึกสะอื้นร่ำไห้ตาแดง


“ภูมิไม่เคยโกรธพลอยเลยนะ” เขายังคงส่งยิ้มเดิมให้พลอยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย


“พลอยจะหางานทำแล้วละ ต่อไปนี้พลอยจะมีภูมิคนเดียวนะ” ทั้งสองมอบโอบกอดแก่กันและกันแนบแน่น
.
.
.
ผม ลองอ่านใจพลอยคร่าว ๆ ก็พอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตลอดวัน ดูเหมือนแผนที่วางไว้ลุล่วงด้วยดี ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ทีนี้ก็เหลือเพียงอย่างเดียว


“อาเต๋อคับ เก่งวาดรูปเสร็จแล้ว” น้องเก่งส่งแผ่นกระดาษให้ผม


“รูปใครน่ะครับ?” ผมมองภาพอย่างเพ่งพินิจ เหมือนหนุ่มออฟฟิศใส่แว่น สวมเชิ้ตกางเกงขาวยาวเนี๊ยบเข้ารูป ท่าทางเต๊ะจุ๊ยไม่เบา


“คนที่ช่วยน้องเก่งไม่ให้เลอะกาแฟคับ” น้องเก่งตอบอย่างมั่นใจ


“ช่วยยังไงครับ?” ผมยิ่งฉงน ตอนกาแฟหกเห็นรอบ ๆ มีแต่ผู้หญิง แต่คนในรูปเป็นผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้


“น้อง เก่งรู้ ถึงเค้าอยู่นอกร้าน แต่เค้าก็ช่วยน้องเก่ง เค้าปัดกาแฟออกให้แบบนี้ ๆ ” น้องเก่งโบกมือประกอบ ท่าเหมือนตัวอะไรบางอย่างขว้างลูกพลัง ผมคิดว่าเราควรจะจบการสนทนาเพียงแค่นี้ก่อนจะเลยเถิดไปกันใหญ่


“เอาเถอะครับน้องเก่ง ขอบคุณมากที่วาดรูปให้อาครับ”


“แต่ว่านะ. . .อามีเรื่องจะขออีกอย่าง” ผมจ้องดวงตาเด็กน้อย และส่งกระแสจิตเข้าภายใน
.
.
.
“พาหลานมาส่งแล้วคร้าบบ” ผมเคาะประตูเบา ๆ หวังว่าสองคนนั้นคงไม่ได้จู๋จี๋กันอยู่นะ
ประตูเปิดออก ภูมิออกมาต้อนรับผมด้วยใบหน้าสดชื่น


“เหนื่อยไหมเต๋อดูแลเด็กน่ะ น้องเก่งไปซนอะไรให้อาเต๋อโกรธรึเปล่าครับ” ภูมิทักทายอย่างอารมณ์ดี ส่วนพลอยก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน


“พ่อภูมิ ๆ อาเต๋อซื้อตัวต่อให้ด้วย”


“ว่าไงนะ. . .” ภูมิทวนขึ้น


“โอ๊ย ของเล่นน่ะเหรอ เรื่องเล็กน้อย อย่าใส่ใจเลย” ผมตบไหล่เขาแสดงถึงความกันเอง


“ไม่ ๆ เมื่อกี้น้องเก่งเรียกพ่อภูมิรึเปล่า?” ภูมิเขย่าตัวน้องเก่งอย่างตื่นเต้น


“คับ? พ่อภูมิ? น้องเก่งพูดผิดเหรอคับ ” น้องเก่งหันซ้ายขวาอย่างไม่แน่ใจ


“เต๋อสอนน้องเหรอ?” ภูมิถามผม หน้าเจ้าตัวอมยิ้มแทบจะระเบิดออกมา ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ส่งยิ้มคืน


“ดีแล้วละ เรียกพ่อภูมิน่ะดีแล้วลูก” พลอยเข้ามากอดน้องเก่ง


“ต่อไปนี้จะมีเราสามคนพ่อแม่ลูกนะ” เธอสรุปความคิดรวบยอดได้ง่ายแต่กินใจ หน้าที่ของผมจบลงแล้ว


เอา ล่ะ ผมไม่ควรจะอยู่ขัดขวางความสุขของครอบครัวนี้ อีกอย่างพรุ่งนี้ผมมีประชุมแอนนาเบลล์แต่เช้า ผมตกลงว่าจะหางานใหม่ที่รายได้สูงกว่านี้ให้ภูมิ แต่ต้องขอเวลาให้ผมกลับไปเตรียมตัวก่อน คู่รักทั้งสองตอบรับ ในใจผมไม่คิดอะไรนอกจากสองคนนี้เป็นเพื่อนเก่าที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีอยู่


ฝน ตกได้จังหวะพอดี มันเป็นฝนหลงฤดู หรือไม่ก็คงน้ำตาเทวดาที่ซาบซึ้งกับสามพ่อแม่ลูกกระมัง ภูมิหยิบร่มให้ผมเอาติดตัวไป แม้ผมจะยืนกรานว่าฝ่าฝนไปได้ก็ตาม เถียงไปเถียงมาผมก็แพ้ให้กับความตื้อของหมอนี่จนได้
.
.
.
“เต๋อ ภูมิมีอะไรอยากพูด ” ไม่บอกก็รู้ว่าเขาเตรียมวาทะก่อนลา เพียงแต่ผมไม่ทราบว่าเรื่องใด


“ขอบคุณมากนะ พบกับเต๋อครั้งนี้เหมือนภูมิเจอเทวดาเลย” ภูมิยิ้ม


“เหอะ ผมชอบเป็นฝ่ายมารมากกว่า ฤทธิ์เยอะดี” ต้องตอบสำบัดสำนวนซะหน่อย


“แล้วก็เรื่องคืนนั้น. . .ภูมิไม่ได้ทำเพราะเมานะ” ภูมิก้มหน้าเหมือนกำลังถูกไต่สวนคดีความ


“ภูมิอยากบอกเต๋อว่า. . . ว่า . . . เอ่อ . . .ว่า” เขายังคงอ้ำอึ้ง ใบหน้าแดงฉ่ำเหมือนแตงโม


“โอเค!. . . ไม่ต้องพูดแล้ว รู้หรอกน่า!” ผมตบหลังภูมิทำเป็นเฮฮา ได้ยินหมดแล้วละ เสียงในใจเจ้านี่ดังออกซะขนาดนั้น


“ผมก็รู้สึกแบบเดียวกับนายนะภูมิ แต่. . .เป็นแบบนี้ดีที่สุดแล้วละ” เราสวมกอดกัน ไร้คำพูดใด ๆ นอกจากความรู้สึก


ขอบ คุณมากนะภูมิที่ทำให้ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมีค่า แต่การเดินทางของผมยังไม่จบสิ้น ผมไม่ต้องการให้ใครต้องพัวพันกับเรื่องสกปรกหยาบช้าของผม ทางเดินที่เขาเลือกไว้ผมก็จัดการให้อยู่กับร่องกับรอยเรียบร้อยแล้ว หวังว่าสามคนนี้คงมีความสุขและดูแลกันได้โดยไม่ต้องมีผม พวกเขาเข้มแข็งมากพอที่จะใช้ชีวิตเหมือนครอบครัวอื่น ๆ และนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นมากที่สุด
.
.
.
.
ส่วนคำที่นายเปล่งออกมาในใจ ผมจะขอเก็บเป็นความลับให้อยู่กับตัวเองตลอดไป
.
.
.
ผมกางร่มเดินไปลานจอดรถด้วยหัวใจชุ่มฉ่ำ ไม่ต่างจากสายฝนที่โปรยปรายลงมา

นานมาแล้วนับตั้งแต่ที่ผมเลือกทางนี้และไม่เคยได้สัมผัสแง่งามภายในจิตใจมนุษย์

สักวันเมื่อภารกิจสิ้นสุดลงแล้ว ผมวาดฝันว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป

หวังว่าคงจะมีใครสักคนยินดีอยู่เคียงข้างผมเหมือนคู่ของภูมิและพลอย
.
.
.
“อารมณ์ดีจังนะครับหนุ่มน้อย”
.
.
.
เจ้าของเสียงทักทำให้ผมต้องหันกลับมอง เขาหมายถึงผมแน่ ๆ
.
.
.
ชาย ที่อยู่ตรงหน้าผมท่าทางอายุมากกว่าผมไม่กี่ปี เขาสวมเชิ้ตสีน้ำเงินกางเกงสแล็คสีครีมสะอาด เนคไทค์จัดอย่างพิถีพิถัน รูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นเรียบร้อย สวมแว่นกรอบดำหนา พลางนึกไปถึงนายธนาคารที่ไหนสักแห่ง
.
ไม่ใช่สิ
.
.
ผมควรจะนึกถึงรูปที่น้องเก่งวาดให้ผมมากกว่า
.
.
ชาย ผู้ปัดกาแฟไม่ให้ลวกเนื้อตัวเด็กน้อยจากนอกร้าน ก่อนหน้านี้ผมอาจคิดว่าเป็นจินตนาการเพ้อฝันของเด็กไม่รู้ประสีประสาคนหนึ่ง แต่นาทีนี้ผมคงต้องกลับมาทบทวนเสียใหม่ ผมอาจถูกสะกดรอยตาม
.
.
.

เจ้านี่ไม่มีร่ม ยืนอยู่กลางแจ้ง แต่ร่างกายกลับไม่เปียก. . .ไม่เปียกแม้แต่น้อย
.
.
.
เมื่อ จับตามองอย่างตั้งใจก็เห็นเม็ดฝนคณานับถูกดีดออกรอบกาย เฉพาะบริเวณที่เขายืนอยู่เท่านั้นที่ไม่มีร่องรอยของความเปียกชื้นใด ๆ ราวกับมีครอบแก้วกั้นตัวไว้จากโลกภายนอก
.
.
.
ไม่ว่านี่คือปาหี่ข้างถนนหรือมายากลชั้นสูงก็ตาม ก็ยังหาใช่สิ่งที่ผมกริ่งเกรงได้มากไปกว่า. . .
.
.
.
.
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้โทรจิตอ่านใจคนไม่ได้
.
.
.
จบตอนที่ 10 เหี้ยมยิ่งกว่า

1 comment:

  1. พี่มาต่อเถอะคับ หนุกมาก

    ReplyDelete