Sunday, February 20, 2011

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 2 สู่ที่ซึ่งคุ้นเคย

"แนวสะกดจิตเรื่องใหม่:แค้นวิปริต จิตสั่งกาม"

โดย
โทรจิตคุง Palm-Plaza.com Forum

ตอนที่ 2 สู่ที่ซึ่งคุ้นเคย

ข่าวหนังสดหน้า ห้างสรรพสินค้าของปรียาเมื่อวานกลายเป็นที่โจษขานผ่านสื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รวมถึงโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ผู้คนต่างตั้งคำถามถึงระดับศีลธรรมในจิตใจมนุษย์ที่สวนทางกับความเจริญมาก ขึ้นทุกที คนสมสู่กันในที่สาธารณะไม่อายฟ้าดินซ้ำยังมีคนสนับสนุนปกป้องเพราะอยากรู้ อยากเห็น อันที่จริงผมอยากเชิญสื่อมวลชนมาฟังแถลงการณ์ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิด จากที่พวกมันขาดจิตสำนึก แต่เกิดจากเกมที่ผมวางไว้ต่างหาก แน่นอนที่สุด ของแบบนี้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ที่ไหน หนำซ้ำใครจะเชื่อง่าย ๆ

อย่าง ไรก็ตามวันนี้ผมเดินผ่านหน้าห้างดังกล่าว ไม่เห็นบริกรหนุ่มคนนั้นทำงานที่นั่นอีกแล้ว ส่วนปรียาผมไม่รู้ว่าเธอมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไรและไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย การชำระความของผมเสร็จสิ้นลงเมื่อใด ก็เท่ากับหนี้ระหว่างกันจบลงแค่นั้น พวกเขามีสิทธิ์ที่จะฆ่าตัวตาย ย้ายบ้านหนี ร้องไห้ เฉย ๆ ทนทานหน้าด้าน หรือเกิดติดใจขึ้นมาไม่รู้สึกเดือดร้อนแม้แต่นิดเดียว ก็เป็นไปได้ทันนั้นและผมแฟร์มากพอที่จะเคารพความรู้สึกพวกเขา หากใครไม่สะทกท้านผมก็จะไม่ไปซ้ำเติมระลอกสองเกินกว่าโทษครั้งแรกที่เขาได้ รับ แต่หากใครภูมิคุ้มกันจิตใจต่ำจนคิดสั้น อันนี้ก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ อยากให้ทุกท่านรับรู้ไว้ว่าผมไม่เคยสะกดจิตบังคับใครให้ฆ่าตัวตายหรือฆ่ากัน เองแม้แต่คนเดียว เอาเถอะ มาเข้าเรื่องของผมวันนี้กันดีกว่า
.
.
.
.
รถ เก๋งบีเอ็มดับบลิวสีดำเทียบจอดลงข้างรั้วโรงเรียนอย่างนุ่มนวล สำหรับโรงเรียนเอกชนคงเป็นเรื่องปกติที่จะพบเห็นรถยี่ห้อหรูของผู้ปกครองชน ชั้นมีอันจะกินกันอยู่บ่อย ๆ เรียกได้ว่าเอียนด้วยซ้ำ ดังนั้นการมาเยือนของผมจึงไม่สร้างความสะดุดตาแก่รปภ. หรือกลุ่มเด็กนักเรียนที่กำลังเรียนพละในสนามแต่อย่างใด ทันทีที่ผมเข้าสู่พื้นที่โรงเรียน รปภ. ก็ขออนุญาตให้แลกบัตรและเซ็นลายมือชื่อบุคคลภายนอกตามกฎ


.
.
แต่แน่ละ ผมจะยอมทิ้งร่องรอยการมีตัวตนได้ซะที่ไหนกัน จึงต้องทำให้รปภ. คิดไปเองว่าผมทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยการใช้อำนาจจิต
.
.


บ่าย นี้เมฆประปรายรำไร มีแดดอ่อน ๆ ชวนให้สดชื่นแต่อากาศไม่ร้อนเกินไป ทำให้ผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษ วันนี้ผมไม่ได้มาคิดบัญชีกับใคร วัตถุประสงค์หลักที่ผมมาเหยียบที่นี่ก็คือ “ตามล่าหาแหล่งข้อมูลรายชื่อลูกหนี้” เดิมทีเหยื่อที่ผมลงมือไล่ตั้งแต่ปรียาขึ้นไป ใช้วิธีเสาะหาด้วยเซิร์ซเอนจิ้นหยาบ ๆ ตามอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ทว่าหลายคนไม่สามารถสืบเสาะหาตัวได้ อาจจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนที่อยู่ หรือไม่มีชื่อใด ๆ ในฐานสารสนเทศ ด้วยเพราะสมัยผมอยู่มัธยมต้นยังไม่มีการนำเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตมาใช้จัดการ ฐานข้อมูลนักเรียน ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องได้แหล่งข้อมูลสำคัญสองแห่งอยู่ในมือจึงจะตามสะสาง หนี้แค้นกับพวกมันได้หมด แหล่งแรกคือหนังสือรุ่นและระเบียนประวัตินักเรียน และแหล่งที่สองคือไอดีโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คของประธานรุ่น ซึ่งแหล่งที่สองเดี๋ยวได้เจอกันแน่ วันนี้เอาแค่อย่างแรกก่อน
.
.


ภาย ในเวลาชั่วโมงเศษ ผมก็ได้เอกสารสำคัญที่ผมต้องการครบถ้วน เริ่มด้วยสะกดจิตให้หัวหน้ารปภ. ปิดกล้องวงจรปิดทั้งหมด จริงสิ คุณอย่าเอาบอกใครนะว่าจุดอ่อนของผมก็คือกล้องวงจรปิด แม้ผมจะบิดเบือนความจริงได้อย่างไร้ขอบเขตแต่ก็ทำได้แค่เล่นสนุกกับความคิด คนอื่นเท่านั้น ไม่สามารถควบคุมหลักฐานเชิงประจักษ์พยานได้หรอกนะ เข้าเรื่องต่อดีกว่า จากนั้นผมจึงสะกดจิตให้พนักงานทะเบียนรื้อค้นหนังสือรุ่นและเอกสารระเบียน ประวัติของนักเรียนชั้น ม. 1/3 ถึงชั้น ม. 3/3 รุ่น 40 แล้วถ่ายเอกสารจัดใส่แฟ้มส่งให้ผมอย่างดี เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจวันนี้
.
.

3 ปีที่ผมใช้ชีวิตมัธยมต้นโรงเรียนแห่งนี้ทำให้ผมตระหนักว่าผมไม่ควรมาอยู่ที่ นี่ในฐานะลูกคนจน ผมกลายเป็นอื่น เป็นมนุษย์ต่างดาวในสายลูกคุณหนูคุณนาย ถูกกดขี่จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด รายชื่อคนที่ถือเป็น “ลูกหนี้” จะอยู่ในช่วงชั้น 3 ปีนี้ แต่ก็ไม่ทุกคนหรอกนะ คนที่ดี ๆ ก็มี และเป็นเหตุผลที่ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ต้องมีสภาพเป็นแบบปรียา ผมเล่นงานเฉพาะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น

บ่าย 2 โมงเศษ ผมเดินลอยชายรอบ ๆ โรงเรียนอย่างไร้จุดหมายหลังจากได้เอกสารตามที่ต้องการแล้ว ผมทราบดีว่าถ้ารู้สึกแย่ก็ไม่ควรอยู่ที่นี่ แต่สำหรับคนที่ขายวิญญาณให้ซาตานไปแล้วอย่างผม แรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ไม่ลังเลกับทางที่ตนเลือก ดังนั้นการเดินซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ความชิงชัง ความน่าสะอิดเอียนในอดีตซึ่งเคยเกิดขึ้นกับผม ณ ที่แห่งนี้จะช่วยให้ผมมีพลังจิตเข้มแข็งยิ่งขึ้น ภาพที่ผมเคยถูกข่มเหงรังแกฉายย้อนกลับแว่บขึ้นมาในหัวอย่างฉับพลันทุกครั้ง เมื่อผ่านสถานที่แห่งความทรงจำต่าง ๆ
.
.

บ่อน้ำที่ผมเคยถูกแกล้งโยนรองเท้าแล้วให้ว่ายตามไปเก็บเอง

โรงอาหารที่ผมเคยถูกราดน้ำปลาจรดศีรษะ

ห้องน้ำชายเก่าข้างโรงเก็บของที่ผมเคยถูกจับไปแก้ผ้าเผาขนเพชร
.

และ
.

ที่นี่
.

ตรงนี้
.
.

“นั่น ใครน่ะ! เฮ้ย !” เสียงเรียกทำให้ผมมีสติคืนกลับมาปัจจุบัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจสะดุ้ง แต่ปัจจุบันผมมักตอบรับน้ำเสียงไร้มารยาทประเภทนี้ด้วยการแลหางตาไปยังต้น เสียงเท่านั้น


“คุณ เป็นใคร! แล้วนี่ทำอะไร! ตอนนี้เวลาเด็กเรียนหนังสือนะ!” เจ้าของเสียงเป็นชายวัยสามสิบหกที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อหลายปีก่อนหน้า นี้ อาจารย์ทรงเดช หรือฉายาที่เด็กตั้งขึ้นก็คือ “มนุษย์กล้าม” เขาเป็นครูผู้สอนวิชาพลศึกษาให้นักเรียนระดับมัธยมต้น ยังคงพูดจาขวานผ่าซากตามประสานักกีฬาที่ใช้กล้ามเนื้อมากกว่ามันสมองเช่นเคย กับคนแปลกหน้าเราไม่ควรใช้คำพูดห้วนไม่น่าฟังเช่นนั้น


“สวัสดี ครับอาจารย์ ผมเป็นศิษย์เก่าครับ พอดีแวะมาทำธุรกรรมที่ต้องใช้เอกสารจากที่นี่นิดหน่อย เสร็จกิจแล้วก็เลยเดินเล่นระลึกความหลัง อาจารย์คงไม่รังเกียจนะครับ” จะดีไหมนะที่ออกตัวว่าเป็นศิษย์เก่า แต่ช่างเถอะถ้ามีอะไรไม่เข้าท่าขึ้นมาค่อยลบความทรงจำทีหลังก็ได้


“ชื่อ อะไร! จบรุ่นไหน! แลกบัตรคนนอกรึยัง เอามาดูซิ!” ให้ตายสิ นี่ผมอายุยี่สิบแล้ว ยังกล้าวางอำนาจใส่ราวกับเห็นเป็นนักเรียนอายุสิบสี่สิบห้า ช่างเถอะโกหกชื่อไปก่อนแล้วกัน


“ชื่อ ชลวิทย์ จบม.ต้นรุ่น 40 ครับ นี่ครับบัตร” อาจารย์ทรงเดชออกแรงคว้าบัตรบุคคลภายนอกจากมือผมไปดูด้วยน้ำหนักมือแรงกว่า ที่ปัญญาชนพึงปฏิบัติต่อกัน


“ชลวิทย์ไหน ไม่มี ผมจำได้” อาจารย์ทรงเดชเสียงแข็ง


“ผม ชลวิทย์ไงครับ แต่อาจารย์จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกครับ ผมไม่ค่อยเด่นในชั้นเรียน” เย็นไว้แล้วนับหนึ่งถึงสิบ ขอเถอะไอ้คุณทรงเดชวันนี้อุตส่าห์อารมณ์ดี ๆ อย่าทำให้กูต้องปล่อยของนะครับ


“บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ! ผมสอนมาหลายรุ่นไม่มีรุ่นไหนมีคนชื่อนี้ คุณนี่น่าสงสัย! มีบัตรประชาชนหรือเปล่า!”


“เสียใจ ด้วยครับที่คงจะให้ดูไม่ได้ อาจารย์ครับ ผมไม่ใช่เด็กมัธยมที่จะมาวางอำนาจใส่แบบนี้แล้วนะครับ บัตรบุคคลภายนอกผมก็แลกมาแล้ว อาจารย์กรุณาให้เกียรติผมในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งด้วยครับ”


“นี่คุณกล้าดียังไงพูดอย่างนี้กับผม งั้นก็ออกไปจากที่นี่ซะ”


“ผมทำอะไรผิดครับ”


“ไม่เชื่อฟังผม ไม่มีสัมมาคารวะ คุณจบไปแล้วยังไงก็เป็นศิษย์อยู่วันยังค่ำ”


“ก็เลยต้องก้มหัวให้กับอาจารย์ต่อไปไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำผ่านไปกี่ปีสินะครับ”


“เฮ้ย! ระวังปากหน่อย!” อาจารย์ทรงเดชดึงไม้เรียวที่เหน็บขอบเอวกางเกงวอร์มออกมาอย่างลืมตัว แต่แล้วจู่ ๆ ก็หยุดมือเอาไว้แค่นั้นเหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้


“ถ้า ให้ผมเดา ทุกวันนี้อาจารย์คงยังไม่เลิกตีเด็กแบบไร้เหตุผลสินะครับ อยู่ในโรงเรียนอาจารย์ใช้อำนาจผ่านไม้เรียวตัดสินถูกผิดให้คนมานักต่อนัก คงเกือบลืมตัวไปกระมังว่าถ้าตีผมตอนนี้มันจะกลายเป็นคดีอาญา ก็อย่างที่บอกไป ผมไม่ใช่เด็กแล้ว และอาจารย์ไม่สามารถใช้อำนาจกับทุกคนทุกเวลาได้ ลองอ่านงานเขียนประมาณฟูโกต์ไหมครับเผื่อจะเข้าใจอะไรดีขึ้น หรือว่า.....เลิกอ่านหนังสือไปแล้วตั้งแต่สอบบรรจุครูได้”


“มึงออกไปเลย!!!” อาจารย์ทรงเดชหลุดคำสบถออกมา เขาคว้าแขนผม...ที่จริงควรใช้คำว่ากระชากมากกว่า เพื่อฉุดตัวผมให้ออกไปจากสถานที่นี้


“เดี๋ยวสิครับ อาจารย์จะไม่ถามสักคำเลยเหรอครับว่าผมมาทำอะไรที่นี่”


“เรื่องของคุณ!!!” อาจารย์ทรงเดชตวาดตอบ เขาไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ


“งั้น ผมขอถามบ้างว่า เพราะอะไรอาจารย์ถึงขึ้นมาเจอผมที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เป็นจุดลับสายตาคน” อาจารย์ทรงเดชชะงักราวกับถูกลิ่มตรึงไว้หลังจากได้ยินคำถาม เขาค่อย ๆ หันหน้ามาฟังผม


“อาจารย์ หลบขึ้นมาสูบบุหรี่ใช่ไหมครับ ทั้ง ๆ ที่อาจารย์สอนวิชาพละและสุขศึกษาให้เด็ก ถือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะครับ ผิดกฎสถานศึกษาด้วย” ผมยิ้มอย่างมีชั้นเชิงพลางมองไปที่กระเป๋ากางเกงวอร์มข้างหนึ่งของอาจารย์ มันตุงออกมาเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณซองบุหรี่


“คุณก็ด้วยล่ะสิ! ไม่ต้องทำตัวสู่รู้!”


“เปล่าครับ ผมไม่สูบบุหรี่”


“งั้นมาทำอะไร!!”


“มารำลึกความหลัง ณ ดาดฟ้าแห่งนี้ครับ จุดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้คือที่ ๆ ผมตัดสินใจกระโดดลงไปเมื่อห้าปีก่อน”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ทรงเดชสะบัดแขนปล่อยมือผมราวกับเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังจับแมลงมีพิษ
.
.
.
“ตอน นั้นเจ็บมากเลยนะ รู้สึกยังกับว่าร่างกายโดนฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ทั้งกรามหัก กะโหลกแตก ซี่โครงหักไม่รู้กี่ซี่ แขนขานี่บิดได้รอบเหมือนหุ่นกระบอกเลย ฮะ ๆ ๆ” .
.
.
.
อาจารย์มองผมราวกับเห็นตัวประหลาดอะไรสักอย่าง ทั้งตะลึง อ้ำอึ้ง ผสมขยะแขยง ส่วนผมค่อย ๆ หันหน้ามาสบตากับเขาชัด ๆ จนดวงตาสองคู่ประสานเป็นแนวเดียวกันแนบสนิท

.
“นึก ออกแล้ว... เธอ...เธอนั่นเอง...เด็กที่ชื่อ...” ยังไม่ทันที่อาจารย์ทรงเดชจะเอ่ยชื่อผม เขาก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมเบ็ดเสร็จ ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรอรับคำสั่งต่อไป...


จุดบกพร่องของระบบการ ศึกษาไทยอย่างหนึ่งก็คือ หลายโรงเรียนมักให้อาจารย์วิชาพลศึกษาและสุขศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบสอนทั้ง สองวิชา สิ่งที่เหมาะสมคือควรจะแยกผู้สอนออกจากกันเนื่องจากธรรมชาติทั้งสองวิชาต้อง การความเชี่ยวชาญของผู้สอนต่างกันพอสมควร ผู้สอนพลศึกษาควรเน้นความถนัดในการส่งเสริมศักยภาพสมรรถภาพทางร่างกายและการ กีฬาของผู้เรียน

ส่วน ผู้สอนสุขศึกษาควรมีทักษะด้านจิตวิทยาและการสื่อสาร เนื่องจากบางหัวข้อเกี่ยวกับปัญหาสังคม ยาเสพติด และเรื่องเพศ ที่ไม่ใช่สิ่งที่พูดคุยกันได้ง่าย ๆ โง่ ๆ ดังนั้นวันนี้ผมจะขอสวมบทบาทวิทยากรบรรยายหัวข้อเพศศึกษาให้กับนักเรียนเป็น คาบพิเศษเอง เนื่องจากตาครูทรงเดชสอนวิชาสุขศึกษาไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ดีแต่สอนให้เด็กบ้าพลังในคาบพละซะมากกว่า และตามตารางเรียนที่ผมยึดมาได้จากอาจารย์ทรงเดช คาบต่อไปเขามีสอนวิชาสุขศึกษาพอดี


“ครืด ดดดดดดดดดด!!” ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องชั้น ม.3/3 เด็กที่กำลังคุยเล่นเสียงดังเซ็งแซ่ ขว้างปาก้อนกระดาษ และพวกที่คุยโทรศัพท์ต่างก็พร้อมใจกันกลับสภาพแสดงความสำรวมภายในเวลาไม่ถึง ครึ่งนาที ไม่ใช่เพราะมารยาท แต่เพราะไม่ทราบว่าผมเป็นใครเข้ามาทำอะไรมากกว่า และทางออกซึ่งฉลาดที่สุดก็คือการเงียบเพื่อสังเกตดูท่าทีบุคคลต้องสงสัย
.


“สวัสดี ครับน้อง ๆ” เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทั้ง ๆ ที่ผมกล่าวแค่คำทักทาย ถ้าคุณไม่หมั่นไส้ก็จะขออธิบายตรง ๆ ว่าคงเป็นเพราะรูปลักษณ์ผมดึงดูดความสนใจเด็กเกินเหตุกระมัง เห็นได้จากพวกผู้หญิงและนักเรียนตุ๊ดหัวร่อต่อกระซิกกันใหญ่ ซึ่งผมอยากให้สนใจเนื้อหาที่ผมกำลังจะนำเสนอมากกว่า
.

“พี่ ชื่อพี่เต๋อ เป็นศิษย์เก่ารั้วเดียวกัน อ.ทรงเดชให้เกียรติพี่มาเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษหัวข้อเพศศึกษาในคาบนี้ครับ อันที่จริงเราก็ถือว่าเป็นพี่น้องกันนะเพราะพี่ก็จบห้อง ม.3/3 เหมือนกัน ฉะนั้นวันนี้เราจะมาพูดคุยกันแบบกันเอง สบาย ๆ นะครับ” ผมทักทายอย่างเป็นมิตรด้วยบุคลิกมาดพิธีกร ความจริงผมเปลี่ยนชื่อเล่นใหม่ตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว แต่ตอนนี้ผมอยากแสดงตัวตนในฐานะพี่น้องโรงเรียนเดียวกันจริง ๆ จึงอยากเรียกตัวเองว่า “เต๋อ” มากกว่า
.


ถือ ว่าได้แสดงความจริงใจกับน้อง ๆ พอเป็นพิธีแล้ว ขั้นต่อไปคือผมต้องสะกดจิตเด็กทั้งห้องให้อยู่ในภาวะที่พร้อมจะเปิดใจเรียน รู้สิ่งแปลกใหม่ เหมือนเรียนหมอไม่กลัวเลือด หรือเรียนชีวะไม่กลัวผ่ากบ และแน่นอนที่สุด สำหรับคาบเพศศึกษาก็คือการได้เห็นภาพเร้าความรู้สึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ งานนี้ผมยึดครองสติสัมปชัญญะของเด็กสามในสี่ส่วน สามส่วนเพื่อให้เด็กคล้อยตามและยอมรับวิธีสอนพิสดารของผมได้ อีกหนึ่งส่วนเหลือให้เด็กยังคงความเป็นตัวของตัวเองสำหรับใช้สมองตั้งข้อซัก ถาม กล้ามีส่วนร่วม เพื่อส่งเสริมบรรยากาศในชั้นเรียน


“เอาละครับ จะเริ่มกันแล้วนะ ก่อนอื่นพี่อยากแจ้งให้ทราบว่ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย”


“บอกมาได้เลยค่ะ พวกหนูฟังได้หมด” เสียงเด็กคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาตอบรับแทนทุกคน


“ข่าวดี คือเราหาอาสาสมัครที่ยอมให้ร่างกายเป็นวิทยาทานมาได้จริง ๆ ส่วนข่าวร้ายคือที่จริงแล้วควรมีตัวอย่างครบทั้งสองเพศ แต่ได้มาคนเดียว น้อง ๆ อยากให้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ” ผมผายมือเปิดโอกาสให้ร่วมลุ้น


“ผู้หญิงสิครับพี่” เสียงจากนักเรียนชายคนหนึ่ง ท่าทางหัวโจกไม่เบา


“ไม่ เอาชะนีแน่ ๆ ค่ะ” น้องนักเรียนกะเทยตอบ เรียกเสียงฮาครืนทีเดียว จะว่าไปทุกห้องทุกรุ่นมันต้องมีกะเทยอย่างน้อยหนึ่งคนจริง ๆ นะ ไม่งั้นขาดสีสัน


“ต้องผู้ชายเท่านั้นค่ะ อร๊ายยย” กลุ่มนักเรียนหญิงพูดจบก็ปรบมือเชียร์กันเองเป็นที่สนุกสนาน


“ถ้า งั้นก็ต้องดีใจกับน้องผู้หญิงด้วยนะครับ อาสาสมัครวันนี้คือผู้ชายครับ และไม่ใช่คนอื่นคนไกล ขอเชิญพบกับ อาจารย์ทรงเดช หรือ “มนุษย์กล้าม” ของพวกเราได้เลย ทุกคนปรบมือต้อนรับอาจารย์ด้วยครับ!!!”


พูด จบอาจารย์ทรงเดชก็เดินเข้ามาในห้องตามมาด้วยเสียงปรบมือต้อนรับเป็นพื้นหลัง เสียงโห่ร้องดังทั่วห้อง คงจะเซอร์ไพร์สทีเดียว เวลานี้ทุกคนอยู่ใต้อาณัติของผมแล้วจึงไม่มีความรู้สึกเกื้อเขินต่อกันในการ เปิดเผยเรื่องเพศ อาจารย์ทรงเดชยืนหลังอยู่ในท่าตามระเบียบพักขึงขัง สวมชุดเสื้อโปโลสีขาว เสื้อวอร์มสีน้ำเงินเข้าชุดกับกางเกงวอร์มสีเดียวกันคาดแถบขาวสามแถบตามแบบ ฉบับชุดพละทั่วไป สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวโทรมนิด ๆ

อาจารย์ ทรงเดชแม้จะอายุสามสิบหกแล้ว แต่ยังคงความหนุ่มไว้ได้ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผิวสีแทนแบบนักกีฬา หน้าคมคิ้วเข้ม ตัวสูงใหญ่ถึงร้อยแปดสิบ หน้าอกแน่นตั้งเต้าบึกบึน มีบั้นท้ายกลมใหญ่ต้นขาแข็งแรงจากการวิ่งและเตะบอลทุกเย็น ที่สำคัญเวลานุ่งกางเกงวอร์มจะรัดจนเห็นเป้าตุงออกมาเป็นก้อนไม่เกรงใจใคร หากมองจากด้านข้างจะเห็นควยเป็นทรงโค้งเลยทีเดียว แถมตูดฟิตจนดันกางเกงในเห็นเป็นรอยขอบรัดติ้วอยู่ในกางเกงวอร์มราวกับสามารถ มองทะลุได้ ยิ่งวันนี้อาจารย์ใส่กางเกงวอร์มสีน้ำเงินสว่างยิ่งเห็นรอยกางเกงในชัดเจน ผมก็ลุ้นเหมือนกันว่าวันนี้อาจารย์ทรงเดชจะใส่สีอะไร แต่อีกเดี๋ยวคงได้รู้ไปพร้อมกับน้อง ๆ เช่นกัน เอาละ...สรุปว่าที่กล่าวมาทั้งหมดคือความเป็นพ่อพันธุ์ที่สมบูรณ์แข็งแรง มีคุณสมบัติเหมาะใช้เป็นเครื่องมือศึกษาต่อหน้าเด็ก ๆ นั่นเอง
.
.
.
จบตอนที่ 2 สู่ที่ซึ่งคุ้นเคย

1 comment:

  1. โดนเข้าแล้วอาจารย์

    ReplyDelete