Sunday, February 20, 2011

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 9 ตาสว่าง

"แนวสะกดจิตเรื่องใหม่:แค้นวิปริต จิตสั่งกาม"

โดย
โทรจิตคุง Palm-Plaza.com Forum

ตอนที่ 9 ตาสว่าง

หอศิลป์ประจำคณะ ศิลปกรรมที่กันย์เรียนนั้นจัดได้ว่าค่อนข้างเก่าแก่ อบอวลด้วยจิตวิญญาณเหล่าศิลปินที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น บรรยากาศเจือกลิ่นอนุรักษ์นิยมนี้ทำให้ทุกซอกมุมของห้องจัดแสดงเต็มไปด้วย มนต์ขลัง จนอาจกล่าวได้ว่าใครก็ตามซึ่งแม้ไม่ได้เรียนทางจิตรกรรมหรือศิลปะแขนงใด ๆ ต่างต้องถูกสะกดให้สำรวมทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในหอศิลป์ทุกรายไป
.
.
.
“เช็คความเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วละนะ พรุ่งนี้คงเปิดงานได้ราบรื่นดี” นักศึกษาชายคนหนึ่งพูดขึ้น
.

“คณบดี จะมาเปิดงานมั้ยเนี่ยะ? ครั้งที่แล้วก็สายเกือบชั่วโมง ปิดมือถืออีก ทำเอาใจหายใจคว่ำ ฉันเป็นพิธีกรต้องถ่วงเวลาแทบตาย คนไม่พอใจก็ด่าผ่านฉันยังกับเป็นกระโถนบ้วนน้ำลาย” นักศึกษาหญิงส่ายหัวเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์


“เถอะ น่า พรุ่งนี้คงไม่มีปัญหาหรอก อย่าลืมสิครั้งนี้มีโชว์ภาพพี่กันย์ที่เพิ่งสอยรางวัลจากมิลานหมาด ๆ สื่อมวลชนก็มา งานนี้คณบดีปลื้มยิ้มปากฉีกถึงหู แกมาเอาหน้าแน่นอนไม่ต้องห่วง” นักศึกษาชายตบไหล่เพื่อนหญิงว่าที่พิธีกรเบา ๆ ให้คลายความกังวลใจ


“แต่. . .แกอ่ะ ฉันรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้ สังหรณ์ใจไม่ดีเลย”


“แกกลัวอะไร” นักศึกษาชายถามกลับ แววตาแฝงความความห่วงใยเจือรำคาญ


“นี่ แกไม่รู้เหรอ พี่กันย์เล่นยานะ บางครั้งก็เอามาพี้ตอนวาดรูปในคณะ แถมบางทีก็หิ้วผู้หญิงขึ้นมาพลอดรัก” เธอหันซ้ายหันขวาแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เบากว่ากระซิบนิดเดียว


“โธ่ เอ๊ย นึกว่าอะไร ใครเขาก็รู้ แต่ทำไงได้ นามสกุลใหญ่โตนี่นา แถมสร้างชื่อเสียงให้กับคณะตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ทุกคนเลยแกล้งหลับตาข้างนึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ถ้าจะดิสเครดิตเขาละก็บอกไว้เลยว่าคนที่เดือดร้อนจะเป็นแกแทน พวกอาจารย์ไม่เล่นด้วยแน่ ๆ” นักศึกษาชายขยายประเด็นต่อไปยังการเมืองในคณะอย่างเผ็ดร้อน


“แหม อีนี่นิ. . .” เธอหยิกแขนเขาอย่างหมั่นไส้ “ฉันไม่ได้จะทำตัวเป็นเซเลอร์มูนจัดการพี่กันย์ซะหน่อย แต่หมายถึง. . .” เธอค้างไว้แค่นั้น


“หมายถึงอะไรวะ แกก็พูดมาไว ๆ ดิ ลีลาอยู่ได้”


“ฉันเคยคิดเล่น ๆ น่ะว่าถ้าพี่เขาเมายาแล้วขึ้นเวทีล่ะก็…จะเกิดอะไรขึ้น”


“อุ วะ! แกนี่ชักจะเพี้ยนใหญ่แล้ว ต่อให้เขาติดยา แต่งานระดับนี้ก็ต้องระวังตัวอยู่แล้วละ ใครจะบ้าทำลายอนาคตตัวเองวะ คิดมาก ไร้สาระว่ะ” นักศึกษาชายยักไหล่ด้วยความระอา


“ถ้า คิดว่าไร้สาระแล้วแกจะถามทำไม อีบ้า!” นักศึกษาสาวระดมตีหลังเพื่อนชาย เล่นบทพ่อแง่แม่งอนกันยังกับลิเกหลงโรง วิ่งไล่รอบห้องจัดนิทรรศการอุตลุด ต่อมาไม่นานเกิดสำนึกได้ว่าช่างเป็นการเล่นที่เสียเวลาและเหนื่อยโดยเปล่า ประโยชน์จึงผ่อนฝีเท้าลง และถึงได้เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนจับจ้องพฤติกรรมของพวกเขาได้สักระยะหนึ่ง แล้ว

.
.
.

“พ. . .พี่กันย์” นักศึกษาหญิงตกใจแต่ก็รีบยกมือไหว้ลวก ๆ ในใจนึกซวยที่ไม่น่านินทาเหมือนเป็นการทักผี ส่วนนักศึกษาหนุ่มวางตัวไม่ถูกนอกจากเกาศีรษะและยิ้มแหย


กันย์ปล่อยผมยาวลงมาคลุมหน้า เผยให้เห็นดวงตาเพียงข้างเดียวเหมือนในหนังผีเกาหลี เขายื่นแขนมาทางรุ่นน้องทั้งสอง ดูเหมือนฝ่ายชายจะเห็นความไม่ชอบมาพากลจึงออกตัวมาอยู่ด้านหน้าเพื่อบัง เพื่อนหญิงไว้


“กุญแจ. . .” กันย์เอ่ยขึ้น ทรงผมปิดหน้า ขอบตาโหลลึก ท่าทีเยื้องย่าง และสองมือที่ยื่นเข้าหาเหมือนคนจรขอเศษเงินทำให้ทั้งสองอยากวิ่งหนีโดยเร็ว แต่ด้วยมารยาทที่รุ่นน้องพึงปฏิบัติจึงต้องฝืนแบ่งรับแบ่งสู้


“กุญแจอะไรครับ?” รุ่นน้องชายถามต่อ


“เอากุญแจหอศิลป์มา. . .” แววตาแฝงความไม่น่าไว้ใจจากกันย์ ทำให้นักศึกษาชายเผลอเอามือกุมกุญแจในกระเป๋ากางเกงโดยไม่รู้สึกตัว


“คืนนี้ฉันจะจัดแกลลอรี่ใหม่ นี่ยังไม่เรียกว่าศิลปะที่แท้จริง…” กันย์พูดต่อ


“แต่พี่ครับ พวกผมเป็นคนรับผิดชอบกุญแจที่ยืมมานะ ส่งต่อให้คนอื่นคงไม่ดีมั้งครับ” รุ่นน้องให้เหตุผล


“ส่งกุญแจมา!!” กันย์ตะคอก สองตาถมึงทึงแทบทะลุนอกเบ้า


“ให้ พี่เขาไปเถอะ! เร็ว ๆ!” นักศึกษาหญิงเขย่าแขนเพื่อนชาย เธอรู้ว่ากันย์มีบางอย่างที่ผิดปกติ และความปลอดภัยควรมาก่อนการหวงกุญแจเพียงไม่กี่ดอก


“ฉันจะรับผิดชอบเอง ส่งกุญแจมาได้แล้ว!!”


กันย์ ยืนกราน และเมื่อรุ่นน้องชายนึกภาพในหัวว่าหากยังไม่มอบให้ดี ๆ ละก็ สองมือที่ยื่นมานั้นอาจพุ่งเข้ามาบีบคอตนเองก็เป็นได้ จึงยอมจำนนส่งกุญแจให้แม้จะพะว้าพะวงก็ตาม นักศึกษาหญิงจูงแขนเพื่อนเดินจ้ำอ้าวออกไปจากหอศิลป์อย่างไม่คิดชีวิต ขณะฝ่ายชายทำได้แค่เพียงเหลียวหลังมองกันย์ที่เดินสำรวจพื้นที่จัดงาน เขาได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้

เช้าวันต่อมา ผมได้ดำเนินแผนอีกขั้น เมื่อสองส่วนนี้ประสานกัน ทุกอย่างคงจะเสร็จสมบูรณ์ เหตุที่ใช้คำว่า “คงจะ” เพราะการสะกดจิตครั้งนี้เป็นประเภทที่หากเลี่ยงได้ผมก็ไม่อยากใช้เท่าไหร่ นั่นคือการสะกดจิตทิ้งคำสั่งให้ฝังอยู่ในหัวเหยื่อแล้วปล่อยให้จัดการ ทุกอย่างเองแบบอัตโนมัติ จะว่าไปก็เหมือนปล่อยวัวควายให้ออกไปหากินตามทุ่งหญ้าบ้านนา เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะตัวผมไม่สามารถอยู่คุมเชิงได้ ผมรู้อยู่แล้วว่าแผนนี้มีช่องโหว่ นั่นคือเรื่องของ “น้องเก่ง”


“พลอย จะไปไหนแต่เช้าน่ะ” ภูมิหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก ส่วนพลอยบรรจงฉีดพรมน้ำหอมทั่วกาย เสื้อผ้าหน้าผมที่จัดแต่งอย่างดีบ่งบอกระดับความสำคัญกิจธุระ


“มีเรื่องต้องทำ” เธอตอบสั้น ๆ พร้อมคว้ากระเป๋าถือและส้นสูงออกมาใส่อย่างรีบรน


“แล้วใครจะรับส่งน้องเก่งไปโรงเรียน” ภูมิเลิกลั่กขึ้น หันไปทางพลอยที ทางน้องเก่งที


“ไม่ต้องห่วง ผมอาสาเอง” เมื่อภูมิหันไปอีกทางก็พบว่าผมแต่งตัวพร้อมเสร็จสรรพยืนควงกุญแจรถรออยู่แล้ว


“ไม่ได้หรอก รบกวนเต๋อเปล่า ๆ ”


“ให้พลอยไปทำธุระเถอะ ส่วนนายก็เข้างานปกติ ผมจะรับส่งน้องเก่งเอง ระหว่างวันจะได้ขับรถเล่นแถวนี้ด้วย”


ภูมิ คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ เพราะเมื่อหันกลับมาอีกทีพลอยก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว ผมยิ้มและยักคิ้วให้เขาเป็นเชิงทึกทักเอาว่าควรทำทุกอย่างตามที่ผมคิดไว้ให้ น่ะดีที่สุดแล้ว
.
.
.
หลังจากผมส่งน้องเก่งเข้าเรียนก็มีเวลา ขับรถกินลมชมวิวตลอดวัน มันช่างว่างเกินไปเสียจนออกไปทางน่าเบื่อด้วยซ้ำ แม้ค่าน้ำมันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม แต่สำนึกสาธารณะฉุกเตือนขึ้นมาเองว่าการขับรถอย่างไร้จุดหมายเพียงเพื่อฆ่า เวลานั้นเป็นการผลาญเชื้อเพลิงซึ่งไม่สมควรทำ ผมจึงจอดพักที่ละแวกตึกแถวใกล้ตลาดแห่งหนึ่ง บริเวณนี้คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ขายและผู้จับจ่ายใช้สอย ผมเลือกเข้าร้านข้าวหมูแดงเพราะไม่รู้จะเลือกมากไปทำไมและเห็นว่าสั่งง่าย กินง่ายดี


“ข้าว หมูแดงใส่ไข่จานนึง แล้วก็น้ำมะขามครับ” หลังจากผมสั่งมื้อสายเรียบร้อยแล้วก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่ทางร้านจัดไว้ขึ้น มาอ่านระหว่างรออาหาร แทบอยากขยุ้มทิ้งเมื่อเห็นรูปไอช่าขึ้นหราในหน้าบันเทิง นาทีนี้เธอคงมาแรงแซงโค้งกลายเป็นเจ้าหญิงคนใหม่แห่งวงการมายา ต่อให้ช้างม้าวัวควายมาฉุดก็เอาไม่อยู่แล้วล่ะมั้งนี่


ชั่ว ครู่นั้นเอง ดูเหมือนจะมีสิ่งแย่งความสนใจจนผมลืมข่าวบันเทิงของไอช่าไปถนัด หนังสือพิมพ์เก่าที่วางไว้ชั้นใกล้เคียงมีพาดข่าวชวนสะดุดตายิ่งกว่า


“ดับแว้นปาหิน ตายสยองสองศพ”


ใน คราแรกไม่เอะใจว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุที่ผมประสบเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา หรือเปล่า แต่เมื่ออ่านอย่างละเอียดก็ทำเอาผมไม่อยากกินข้าว จุดเกิดเหตุเป็นถนนซึ่งผมเคยขับผ่านตอนตีสี่ในวันที่จัดการกับแจ็ค และรูปพรรณสันฐานของศพก็เหมือนกับเด็กที่ปาหินใส่ผม ผมค่อนข้างมั่นใจแม้จะมีเวลาจดจำรายละเอียดเพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม


บาง ที เด็กสองคนนี้อาจถึงฆาตก่อนผมไปถึงบริเวณนั้น และภาพที่เห็นก็คงหนีไม่พ้น. . .พอดีกว่า ผมไม่ควรหาเรื่องให้กระเพาะตัวเองย่อยอาหารลำบาก คิดได้เช่นนั้นจึงวางหนังสือพิมพ์เก็บที่เดิมแถมคว่ำหน้าซะ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน ข้าวหมูแดงราดน้ำปรุงรสฉ่ำเยิ้มที่พร้อมเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าชวนรับประทานยิ่ง นัก


ผม ทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยพลางนึกถึงแผนที่วางไว้ ซึ่งก็คือการสะกดจิตให้พลอยเดินทางไปหากันย์ เนื่องจากผมไม่สะดวกเทียวไปเทียวมารับส่งพลอยเพราะต้องคำนึงถึงน้องเก่งด้วย จึงไม่สามารถตามไปกำกับคนทั้งสองได้ การใช้โทรจิตควบคุมคนหรือใช้ตาทิพย์ตรวจความคืบหน้าของผมยังคงมีขอบเขตการ ใช้งานที่ถูกจำกัดด้วยระยะทาง

.
.
.
หวังว่าทุกอย่างคงจะไม่เบี่ยงเบนไปจากการคาดคะเนผลลัพธ์ของผมมากนัก

“ฉันมาที่นี่ทำไมกันนะ?”


พลอย ตั้งคำถามให้ตัวเอง เธอยืนมองหอศิลป์อย่างฉงน รู้สึกประหม่าไปในทันทีเมื่อรู้สึกว่าตนอยู่ในสภาพหัวเดียวกระเทียมลีบ เธอรู้ตัวดีว่าเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติในงานนี้ กระนั้นก็อุ่นใจลงบ้างเมื่อเห็นรายละเอียดบนโปสเตอร์ที่แปะติดกำแพงว่า นิทรรศการครั้งนี้เปิดให้บุคคลผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าชมได้


ท่า ทางงานนี้จะวุ่นวายพอสมควร ผู้คนร้อยพ่อพันแม่เดินเข้าออกขวักไขว่ แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร พลอยจึงใช้โอกาสนี้แฝงตัวเดินเข้างานไปกับคนรอบข้างอย่างแนบเนียน แต่เมื่อเธอเข้ามาในหอศิลป์ก็ไม่ต่างจากนักเดินป่าไม่พกเข็มทิศ เคราะห์ดีที่เสียงปรบมือสนั่นก้องกังวานช่วยนำทางให้เธอทราบว่าควรจะพาตัว เองเข้าไปอยู่ในจุดใด พลอยดิ่งตรงไปยังห้องประชุมโถงกลางซึ่งยังอยู่ในช่วงกำลังเปิดงาน ภายในห้องเต็มไปด้วยคณาจารย์ นักศึกษา สื่อมวลชน และผู้สนใจทั่วไป ทั้งนั่งเก้าอี้และยืนชมเกือบสองร้อยคนโดยประมาณ


“และวันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษทีเดียวค่ะ พวกเราจะได้ชื่นชมผลงานชุด “สุขเหนือนิพพาน” ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทภาพสีน้ำมัน ในงานสัปดาห์จิตรกรรม ครั้งที่ 34 จัดขึ้นโดยสมาคมศิลปะนานาชาติ ณ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี นำความภาคภูมิใจมาสู่ประเทศไทย ซึ่งเจ้าของผลงานก็เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ของเราเอง ค่ะ วันนี้เขาจะมาเปิดเผยถึงแนวคิดและเคล็บลับวิธีสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการวาด ภาพแนวกึ่งนามธรรม เอาล่ะค่ะ เขาอยู่กับเราตรงนี้แล้ว ขอเสียงปรบมือต้อนรับ คุณเกียรติพิทักษ์ จิรวรกาล หรือพี่กันย์ เอกจิตรกรรมของเราด้วยค่า!” นักศึกษาสาวผู้รับหน้าที่พิธีกรกล่าวลื่นไหลประดุจผ่านชั่วโมงบินมาหลายเวที เธอคือหญิงสาวคนเดียวกับคนที่เตรียมงานเมื่อคืนนี้นั่นเอง


กันย์ ปรากฏกายโดยก้าวเดินช้า ๆ ออกมาจากข้างเวทีด้วยทีท่าสงบเสงี่ยม เขาก้มมองฝ่าเท้าตัวเอง สองมือประสานด้านหน้าราวกับนักพรต ปล่อยผมยาวพลิ้วไสว และสวมชุดคลุมสีขาวล้วนคล้ายภูตเอลฟ์หรืออมนุษย์บางจำพวกที่ยังจัดว่าน่า เลื่อมใส ภาพดังกล่าวเรียกเสียงเฮฮาผิวปากจากเพื่อนร่วมรุ่นและเหล่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ได้อย่างท่วมท้น อันที่จริงก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่นักศึกษาสาขาวิชานี้จะแสดงเอกลักษณ์ประจำ ตนเกินความพอดีออกมาบ้าง อย่างไรก็ตามดูเหมือนรางวัลใหญ่ที่เขาคว้ามาได้จะถูกแปรสภาพกลายเป็นบุญคุณ กึ่งสำเร็จรูป ผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในงานจึงพยายามมองข้ามพฤติกรรมตรงนี้ไป


เนื้อ ตัวพลอยสั่นเทา เปี่ยมไปด้วยความตื้นตัน สองตาคลอด้วยน้ำตาแห่งปีติ ผู้ชายที่เธอรักที่สุดอยู่ตรงหน้าเธอนี้เอง ใบหน้ายังคงความงามหมดจดราวอิสตรี ผิวผุดผ่องดั่งทวยเทพที่สถิตบนสวรรค์ วันนี้เขาประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือ ส่วนเธอทำได้แค่มีลมหายใจไปวัน ๆ ผ่านการเป็นกาฝากดูดน้ำเลี้ยงจากหัวใจผู้ชายซื่อคนหนึ่ง เธอเจียมตนเองและยิ่งสำนึกว่าไม่คู่ควรกับกันย์ จึงถอยมาหลบแอบดูกันย์บริเวณหลังสุดของห้อง ขอให้เธอได้ชื่นชมแก้วที่ไม่อาจเอื้อมอยู่ห่าง ๆ ก็สุขใจแล้ว


“เฮ้ย นี่ทำอะไรของมึงน่ะ?” เสียงผู้ชายคุยกันที่ดังขึ้นข้าง ๆ ทำให้พลอยแบ่งสติให้รับรู้เหตุการณ์รอบตัว


“พี่ กันย์เขาจัดการของเขาเอง กูไม่เกี่ยวนะโว้ย แม่งคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าภาพหรือไงวะ ได้รางวัลมาแค่นี้ทำเบ่ง” นักศึกษาชายฝ่ายเตรียมงานคนเมื่อวานเอ่ยขึ้นกับเพื่อน พวกเขาต่างพากันวิจารณ์ภาพวาดที่แปะผนังเรียงรายอยู่ทั่วงานแต่ถูกผ้าขาว คลุมปิดทับไว้ โดยกันย์อ้างว่าทุกคนต้องได้ชมภาพเปิดงานของเขาบนเวทีก่อน จากนั้นถึงจะอนุญาตให้เปิดผ้าคลุมให้เยี่ยมชมผลงานของนักศึกษาคนอื่น ๆ ได้


“แล้วเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์เปิดออกวะ กูว่าเดี๋ยวแม่งก็ใช้ให้พวกเรานี่แหละเป็นคนแกะออก”


“มัน ก็แหงอยู่แล้ว แต่ว่านะ. . .กูชักรู้สึกทะแม่ง ๆ ว่ะ” นักศึกษาชายฝ่ายเตรียมงานพูดด้วยน้ำเสียงกังวลใจ เขาลองแง้มผ้าคลุมออกมาเล็กน้อย


“ฉิบหายแล้วไง!” ทั้งคู่อุทานพร้อมกัน พลอยซึ่งตามไม่ทันคงทำได้เพียงแต่ตีหน้าสงสัย
.
.
.

การสัมภาษณ์บนเวทียังคงดำเนินต่อไป พิธีกรหญิงเดินงานได้อย่างกระชับ จนกระทั่งถึงเวลาส่งไมค์ให้กันย์


“แต่ เดิมผมตั้งชื่อผลงานนั้นว่า สุขเหนือนิพพาน แต่เมื่อมาคิดดูอีกรอบแล้วก็พบว่า มนุษย์เปื้อนกิเลสอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คงไม่มีความจำเป็นต้องลิ้มลองรสแห่งนิพพาน เป็นเรื่องเกินการหยั่งรู้ของปุถุชน เราน่าจะสนใจความสุขที่สามารถสร้างขึ้นเองได้ง่าย ๆ มากกว่า” กันย์กล่าวถึงแนวคิด
.

“ผมจึงเผารูปนั้นทิ้งไปแล้ว. . .” ประโยคนี้ทำเอาเกิดเสียงฮือฮามองหน้าซ้ายขวากันทั้งห้องประชุม


“และ นี่คือผลงานที่ผมรังสรรค์ขึ้นใหม่แทนภาพเก่า” เขาเดินไปกระชากผ้าขาวซึ่งคลุมภาพวาดบนเวทีไว้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทันทีที่ผืนผ้าถูกปลดเปลื้องออก ผู้คนทั้งหอประชุมต่างเงียบกริบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
.
.
.

ภาพ ดังกล่าวเป็นรูปของผู้ชายสองคนสอดใส่ท่อนลำหลั่งน้ำกามระเบิดคาช่องคลอดและ ทวารหนักของฝ่ายหญิง คนในรูปทั้งสามแสดงสีหน้าเปี่ยมสุขล้นหลามดุจล่องลอยสู่สรวงสวรรค์


“ผมขอให้ชื่อภาพนี้ว่า “นิพพานช่างแม่ง แยงหญิงดีกว่า” ” กันย์พูดต่ออย่างเมินเฉยปฏิกิริยาผู้คนในห้อง
.
.
.
“พ. . .พี่กันย์. . .คะ?” พิธีกรหญิงหน้าถอดสี เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบาและลดไมค์ลง เธอไม่คิดว่านี่คือตลกร้าย เพราะมันเกินขอบเขตที่จะมีคำว่าตลกเป็นส่วนประกอบ


“อีเวร! มึงไม่ซาบซึ้งไปกับกูเลยเหรอ!” กันย์พูดออกไมค์เสียงเต็มพิกัด ดังพอที่จะได้ยินไปถึงหน้างาน


“พวก มึงจะทำติสต์แตกสนองจิตวิญญาณแล้วมันได้เหี้ยอะไรขึ้นมา มีความสุขอยู่กับเรื่องเย็ด ๆ ยัด ๆ น่ะดีแล้ว!! ไอ้หน้าหี อีร่านควย!!” เขาเริ่มระเบิดด้านมืดในจิตใต้สำนึกออกมา บัดนี้ระเบิดเวลาที่เต๋อวางไว้ทำงานแล้ว!


“พี่ กันย์คะ สงบลงก่อนเถอะค่ะ” เธอเลิกลั่ก ต่อให้รุ่นน้องคนนี้ช่ำชองผ่านมาสักกี่เวทีก็คงคาดไม่ถึงว่าจะเจอปัญหาเฉพาะ หน้าฉีกกรอบขนาดนี้ ตำราพิธีกรมืออาชีพเล่มไหนก็ไม่มีเขียนไว้เป็นแน่


“เอ้า! สมมติว่าไมค์นี่เป็นควย!! ไหนมึงอมซิ!” กันย์ยัดเยียดด้ามไมค์โครโฟนในมือใส่ปากพิธีกรรุ่นน้อง เธอขัดขืนและกรีดร้องลั่น ผู้คนด้านล่างได้สติและวิ่งกรูขึ้นมาเพื่อยับยั้ง เกิดเสียงอลหม่านเอ็ดตะโรจนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าใครพูดถึงอะไรกันแน่ พลอยยังคงยืนตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เธอต้องถ่อมาถึงที่นี่เพื่อการนี้เองหรือ


“หยุด!! ไอ้พวกไพร่! อย่าถูกเนื้อต้องตัวกู!!” กันย์แหวกผ้าคลุมตัวออก ข้างในไม่ได้ใส่อะไรเลยแม้แต่กางเกงใน ทำเอากลุ่มคนที่ขึ้นมาช่วยถอยกรูดขอไปตั้งหลักที่ขอบเวที ส่วนพิธีกรสาวอาศัยจังหวะนี้กระโดดจากเวทีหนีรอดหวุดหวิด


“ผิว กูงดงามใช่ไหม! ห้ามใครแตะต้องเด็ดขาด! นี่คือรูปกายของเทพเจ้าที่จุติมาเพื่อปลดปล่อยพวกมึงให้บรรลุสัจธรรมสูงสุด. . .คือการเย็ดสดแตกใน!” เขาใช้จังหวะที่ผู้คนทำอะไรไม่ถูกร่ายคติกักขฬะ พร้อมแหวกผ้าคลุมกว้าง เผยของลับหันหน้าให้สื่อมวลชนถ่ายรูปชัด ๆ ดูเหมือนว่าสกู๊ปข่าวการศึกษากรอบเล็ก ๆ จะได้ย้ายไปอยู่พาดหัวหน้าหนึ่งเสียนี่กระมัง คณบดีหนีปัญหาอย่างง่ายดายด้วยอาการหน้ามืดลมจับ ปล่อยให้ลูกศิษย์ลูกหาแก้ปัญหากันเอง


“รับ น้ำมนต์จากเทพเจ้าไปซะ!! เคี๊ยก ฮ่า ๆ ๆ ๆ” กันย์จับของสงวนไว้มั่น แล้วจึงปล่อยปัสสาวะเล็งเป้าเรี่ยราดใส่ทั้งผู้ร่วมงานด้านล่างและพวกที่ ขึ้นมาระงับเหตุบนเวที สามัญสำนึกทำให้ทุกคนต้องหลบเลี่ยงสายน้ำเหลืองอ๋อยแม้จะรู้อยู่ว่ามันไม่มี อันตรายอะไรไปมากกว่าความน่าขยะแขยง เหตุโกลาหลทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ


“พี่ ครับ ๆ ช่วยพวกผมแกะรูปหน่อย!!” เด็กหนุ่มฝ่ายเตรียมงานสะกิดพลอยซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด ขณะที่ผู้ร่วมงานบางส่วนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเริ่มทยอยหนีออกจากห้องโถงประชุม คนมากมายสวนผ่านพลอยที่แข็งนิ่งเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิต เธอรู้สึกหมดแรงจนแทบล้มทั้งยืน


“ขอ ร้องล่ะพี่! เพื่อนคนอื่นกระจายไปคนละทางแล้ว ผมต้องรีบเก็บรูปพวกนี้” เด็กหนุ่มสะกิดอีกครั้งและยกมือไหว้จนเกือบกราบ พลอยเหม่อลอยปล่อยตัวเข้าช่วยเด็กหนุ่มแกะรูปที่แขวนตามผนัง โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซื่อสัตย์ต่อรักแรกจนถึงวันนี้เพื่ออะไร นี่หรือค่าตอบแทนของการรอคอย


“ชิชะ! มึงทำอะไร! หยุดบัดเดี๋ยวนี้!” กันย์กระโจนจากเวทีพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มที่กำลังแกะรูป เขาตัดสินใจผละจากภารกิจทั้งหมดเพื่อหนีเอาตัวรอด ระหว่างที่กันย์ตรงดิ่งเข้าหาเด็กหนุ่มได้วิ่งสวนชนไหล่พลอย ไร้วี่แววว่าเขาจำเธอได้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิ เธอรู้อยู่แล้วว่ากันย์ไม่เคยมีเยื่อใยให้เลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาคือการหลอกตัวเอง และการพบกันครั้งนี้ก็คงเป็นการเดินเข้าหาความจริง ความจริงอันเจ็บปวด เจ็บปวดกว่าที่เธอคิด เธอนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าสิ่งใดทำให้เทพบุตรอย่างกันย์ต้องกลายเป็นชีเปลือยไล่กวดคนพล่านไปทั่ว

.
.
กันย์ วิ่งกราดฉีกผ้าคลุมภาพอื่น ๆ ในห้องจัดแสดงออก มันไม่ใช่ภาพที่คนอื่นวาดขึ้นตามที่จัดไว้ตั้งแต่แรก แต่เป็นภาพที่เขาวาดขึ้นเองใหม่ แต่ละภาพเป็นการสมสู่กันระหว่างหญิงชายหลากท่วงท่าพิสดารเท่าที่กันย์จะนึก ออกจากประสบการณ์ตรงและหนังโป๊ที่เคยผ่านตา
.


“พวก มึงดูซะ! นี่คือความสุขสุดยอด ควยกับหีต้องคู่กันเหมือนหยิงหยาง!! หีน่ะมีไว้เย็ด! ผู้หญิงในโลกก็มีให้พวกมึงจับเย็ดมากมาย จะเอาท่าไหนก็มาเลือกดูจากภาพกูได้!! เคี้ยก ฮ่า ๆ ๆ ” เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง บัดนี้ รปภ. ได้เข้ามาระงับเหตุแล้ว แต่กันย์ไหวตัวทันควัน เขาสวมเสื้อคลุมทับและวิ่งหนีออกทางประตูฉุกเฉิน
.
.
.
.
นักศึกษาหนุ่มคนเดิมกลับเข้ามาในงาน เสียงวิทยุสื่อสารเจ้าหน้าดังซ่าเป็นช่วง ๆ ไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขากำลังหารือกันถึงเรื่องกันย์


“ขอโทษนะครับพี่ เมื่อกี้ผมออกไปตาม รปภ. มา พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เขาถามพลอยซึ่งกำลังนั่งกองกับพื้นน้ำตาอาบแก้ม


“นึก แล้วว่าไอ้ขี้ยานี่ต้องก่อเรื่องเข้าซักวัน! งามหน้าไหมล่ะ งานล่มหมดเลย ได้ตามเช็ดตามล้างกันเป็นพรวนแน่!!” นักศึกษาสาวพิธีกรเดินแทรกเข้ากลางวงสนทนา มือไม้สาละวนจัดเสื้อผ้าที่หลุดหลุ่ยหลังโดดเวทีหนีกันย์ลงมากลิ้งกับพื้น สามตลบ


“พวกน้องรู้จักกันย์ด้วยเหรอ” พลอยปาดน้ำตา พยายามดึงอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ


นักศึกษาทั้งสองมองหน้ากันเหมือนปรึกษาผ่านความเงียบ ก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าตอบรับทั้งคู่

.
.
“เล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมว่าอยู่ที่นี่เขาเป็นยังไง” เธอฝืนอมยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายกล้าเล่าอย่างเปิดเผย

ณ ห้องวาดรูป “ลับเฉพาะ” แห่งหนึ่งในคณะศิลปกรรมศาสตร์ นักศึกษาชายหญิงปีสามกลุ่มเล็ก ๆ กำลังง่วนอยู่กับการสเก็ตช์ภาพนางแบบนู้ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกฝนของจิตรกร พวกเขาลงขันเงินคนละมือจ้างนางแบบจากคลับอาบอบนวดเป็นการพิเศษ หญิงสาววัยสามสิบผู้เป็นนางแบบนอนโพสท่าอย่างมืออาชีพ ไร้ความเคอะเขิน อาจเพราะเห็นว่าทำไปเพื่อการศึกษา ทุกคนในห้องอยู่ในอาการสำรวมเป็นการให้เกียรติกันและกัน


แต่แล้วบรรยากาศแห่งความเคร่งขรึมก็ถูกทำลายลง
.
.
.

ประตูพังลงด้วยแรงถีบเฉียบขาดเพียงครั้งเดียว! กันย์บุกเข้ามาชนิดไม่ให้ใครเตรียมตัวเตรียมใจ!


“วาดเหี้ยอะไรกันอยู่พวกไพร่!?” กันย์ตะโกนถาม


“เฮ้ย! ไอ้กันย์! ทำงี้ได้ไงวะ!” นักศึกษาชายรุ่นพี่ขว้างดินสอลงพื้นด้วยความโมโห เดินตรงเข้ามาเอาเรื่อง ขณะที่นางแบบตื่นตกใจ รีบโกยเสื้อผ้าขึ้นมาปกปิดร่างกาย


“หยุด! ห้ามถูกเนื้อต้องตัวเทพเจ้า!” กันย์ใช้มุขเดิมคือแหวกเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นพื้นที่ใต้ร่มผ้าอล่างฉ่าง และก็ได้ผลเช่นเคย ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ผู้มีพฤติกรรมสัปดนเช่นนี้


บัด นี้กันย์ได้เร่งเร้าพลังตัณหาจนถึงขีดสุด ลำควยของเขาโด่ผงาดชี้ฟ้าเป็นสัญญาณพร้อมออกศึก ยิ่งสร้างความสะอิดสะเอียนต่อประจักษ์พยานพบเห็น


“จ้าง กะหรี่มานอนแก้ผ้าแค่นี้ไม่ได้เรื่อง! โง่เง่า! ถ้าอยากวาดก็ต้องวาดตอนคนกำลังเย็ดกัน!!” กันย์กระโจนเข้าหานางแบบและกระชากผ้าที่เธอใช้ปกปิดออกทันที หญิงสาวร้องลั่นและผลักกันย์ออกไป เธอลนลานวิ่งพรวดออกจากห้องโดยลืมไปว่ากำลังเปลือยเปล่า


“อย่า หนี! อีกะหรี่! มาให้กูเย็ดก่อน!” เขาวิ่งตามนางแบบออกไปติด ๆ กัน บรรดานักศึกษาในห้องตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก กระนั้นเมื่อได้สติคืนมาก็มีผู้นำคนหนึ่งสั่งให้ทุกคนวิ่งตามออกไป

.
.
.
“ช่วย ด้วยค่ะ! คนบ้า!” นางแบบร่างเปลือยวิ่งหนีพลางร้องขอความช่วยเหลือ สองเต้ากระเพื่อมตามฝีเท้า ขณะที่กันย์วิ่งล่อนจ้อนควยแข็งตามหลังมาติด ๆ เธอวิ่งผ่านหน้าคณะตัดไปถึงโรงอาหาร เล่นเอาคนกำลังทานก๋วยเตี๋ยวถึงกับสำลักเส้นติดคอ ทุกคนได้แต่ลุกขึ้นดูเพราะตื่นตกใจจนไม่สามารถคิดได้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน ก่อน เสียงกรี๊ดกร๊าดดังเซ็งแซ่ทั่วโรงอาหารอย่างชุลมุน ดูเหมือนนางแบบเองก็ไม่ทันฉุกคิดว่าตัวเธอนั้นก็อยู่ในสภาพที่ไม่มีใครกล้า เข้าไปออกหน้ารับให้


“ช่วยด้วย!! กรี๊ดดดด!!” นางแบบสาววิ่งตรงไปหากลุ่มคนหวังหาที่พึ่ง แต่ผู้คนบริเวณกลับแตกฮือออกด้วยความตื่นกลัว ยกเว้นเพียงหนึ่งคน
.
.
.
พลอยนั่นเอง
.
.
.
“คนบ้าไล่ตามฉันมา! ช่วยที!” เธอหลบเกาะข้างหลังพลอยเสมือนเครื่องกำบัง


“หลีกไป!! นังผู้หญิง!!” กันย์คำรามคลั่ง


“ไอ้ขี้ยา. . . เลิกเห็นผู้หญิงเป็นของเล่นได้แล้ว” พลอยรำพึงแผ่วเบา สองมือกำหมัดแน่น


“บ่น เหี้ยอะไรของมึง! ถ้าไม่หลีก กูจะจับปี้ตรงนี้ทั้งคู่!” เขาสาวท่อนลำตนเองเป็นการข่มขวัญ ใบหน้าหื่นกามและคราบน้ำลายไหลเป็นทาง ทำเอาไทยมุงรอบข้างเกิดอาการคลื่นเหียน มีเพียงพลอยที่ยังยึดสติคงมั่น


“เคี้ยก ฮ่า ๆ ๆ ๆ!!” กันย์ดีดตัวเข้าหาหญิงทั้งสองราวกับสิงโตพุ่งตะครุบเหยื่อ
.
.
.
ชั่ววูบความรู้สึก กันย์ได้สัมผัสเปี่ยมเรี่ยวแรงเต็มฝ่ามือประทับเข้าที่แก้ม

.
.
.

เขาถูกตบเต็มฉาด


“นั่นส่วนของภูมิ!” พลอยพูด และไม่ทิ้งช่วงให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวติด เธอชักมือกลับตบหลังแหวนอีกเปรี้ยงจนกันย์ถึงกับประคองตัวไม่อยู่


“เมื่อกี้คือส่วนของเต๋อ!”
.
.
“และ นี่คือส่วนของฉันกับลูก!” เธอปิดฉากโดยเตะผ่ากล่องดวงใจเข้าเต็มรัก กันย์อ้าปากร้องลั่น สติรับรู้ฉีกกระชากราวกับถูกคมเคียวมัจจุราชบั่นหัว ใบหน้าขาวใสบัดนี้อมสีเขียวเหมือนคนใกล้ขาดใจตาย เขาล้มลงกุมเป้านอนดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ
.
.

พลอยถอดเสื้อนอกคลุมให้นางแบบที่กำลังร้องไห้อย่างผวา และขอตัวออกจากฝูงชนโดยไม่รับฟังคำถามหรือคำสรรเสริญใด ๆ ทั้งสิ้น
ก่อนจากไปเธอทิ้งคำพูดสุดท้ายฝากให้กันย์ซึ่งกำลังนอนหมดสภาพ
.
.
.
“ฉันเลวเพราะแกมาเกินพอแล้ว ลาก่อนไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
.
.
.
.
จบตอนที่ 9 ตาสว่าง

No comments:

Post a Comment