Sunday, February 20, 2011

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 10 เหี้ยมยิ่งกว่า

"แนวสะกดจิตเรื่องใหม่:แค้นวิปริต จิตสั่งกาม"

โดย
โทรจิตคุง Palm-Plaza.com Forum

ตอนที่ 10 เหี้ยมยิ่งกว่า

“อยากได้ไหมครับน้องเก่ง” ผมถามน้องเก่งที่กำลังมองกล่องตัวต่อปราสาทของเล่นอย่างใจจดใจจ่อ


“ไม่เอาคับ” น้องเก่งตอบ


“เดี๋ยว อาซื้อให้” ใจผมอยากซื้อของเล่นให้น้องเก่งเป็นของฝากซักชุด อีกด้านหนึ่งก็คงเป็นการชดเชยสิ่งที่ตนขาดหายในวัยเด็กทดแทนให้ลูกชายเพื่อน ของเล่นเสริมสร้างจินตนาการสมัยนี้ดูล่อตาล่อใจน่าสะสมเหลือเกิน น่าเสียดายที่ผมเพิ่งพ้นวัยเรียน ๆ เล่น ๆ ไปเมื่อไม่นานนี้เอง


“อา ภูมิสอนว่า ถ้ามีคนให้ของ ต้องหาอย่างอื่นมาแลกเปลี่ยนคับ” น้องเก่งพูดคล่องและใช้คำศัพท์สื่อความคิดได้ลึกซึ้งกว่าเด็กทั่วไปโดย เฉลี่ย ไม่แปลกเลย ก็ภูมิเป็นคนเลี้ยงนี่นา


“กล่องใหญ่แบบนี้ เก่งจะหาอะไรมาแลกล่ะคับอาเต๋อ”


“เอาแบบนี้ไหมครับ วาดรูปให้อาสักรูปก็พอ เก่งชอบวาดรูปอยู่แล้วนิ ถือว่าทำงานแลกตัวต่อไงครับ” ผมยื่นข้อเสนอ


“รูปอะไรดีคับ” เด็กน้อยเริ่มสนใจเจรจาต่อรอง มันต้องให้ได้อย่างนี้สิถึงสมเป็นลูกเจ้าภูมิ หัวไวจริง ๆ


“รูป อะไรก็ได้ที่น้องเก่งอยากวาดให้อา แต่ตอนนี้เราซื้อของก่อนดีกว่านะ จะได้ไปหาอย่างอื่นทำกัน” ผมมัดมือชก จัดการหอบตัวต่อปราสาทกล่องใหญ่ที่สุดส่งให้แคชเชียร์คิดเงิน มั่นใจว่าเด็กฉลาดอย่างน้องเก่งคงประกอบปราสาทอัศวินมังกรสำเร็จตามภาพ ตัวอย่างหน้ากล่องได้ไม่ยากเย็นนัก ดีไม่ดีมีเจ้าภูมิอยู่ด้วยคงจะสอนให้คิดนอกกรอบ ออกแบบนอกเหนือไปจากของเดิมด้วยซ้ำ


ผม ขออนุญาตภูมิพาน้องเก่งมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าหลังโรงเรียนเลิก โดยส่วนตัวอาจจะไม่ชอบเด็กดื้อหรือที่เรียกภาษาปากว่า “เด็กเปรต” ซักเท่าไหร่ แต่สำหรับน้องเก่งผมเต็มร้อย เนื่องด้วยวุฒิภาวะและจรรยามารยาทที่สูงเกินเด็กวัยไล่เลี่ยกัน ดังนั้น ความรู้สึกเอ็นดูจึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องให้พ่อแม่สาธยาย สรรพคุณ ปราสาทอัศวินมังกรหลังนี้จึงถือเป็นรางวัลสำหรับเด็กดีอยู่ในโอวาท


หลัง จากซื้อของเล่นชุดใหญ่แล้ว เราพากันไปทานแฮมเบอร์เกอร์และไก่ทอดที่ร้านฟาสต์ฟู้ด ผมเลือกร้านนี้เพราะมีบรรยากาศเป็นมิตรกับเด็ก ทั้งมุมสนามเด็กเล่นแบบมินิ ชุดอาหารเด็ก และการตกแต่งร้านที่ดูสดใสสบายตา ทว่าร้านนี้ก็ยังคงมีกลุ่มลูกค้าทั่วไปเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน บางครั้งเราจึงอาจพบเห็นปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างลูกค้าทั่วไปและบุตร หลานลูกค้าคนอื่น
.
.
.
เช่นเหตุที่เกิดขึ้นต่อไปนี้
.
.
สาว ออฟฟิศผมซอยสั้นแต่งตัวนำสมัยกำลังใช้ความพยายามอย่างสูงในการแยกประสาท สัมผัสเพื่อสั่งอาหารและแชทโต้ตอบผ่านมือถือในคราเดียวกัน รอยยิ้มฉีกกว้างบ่งบอกว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่มีผลกับต่อมรับรู้ของเธอ ณ เวลานี้


“กาแฟร้อนได้แล้วค่ะ” พนักงานส่งถ้วยกาแฟหอมกรุ่นให้ สาวนักแชทคว้าหมับเดินกลับไปโดยไม่เอ่ยแม้เพียงคำขอบคุณ


“คิก ๆ ๆ” ใบหน้าเธอยังคงเปื้อนยิ้มจากข้อความที่โต้ตอบอย่างเพลินมือ มือข้างหนึ่งถือถ้วยกาแฟไว้หลวม ๆ


“ว๊าย! ระวัง!” พนักงานร้องลั่น สาวออฟฟิศเดินชนน้องเก่งซึ่งกำลังจะเดินไปมุมสนามเด็กเล่น กาแฟร้อนหกไหลกระจายเต็มพื้น


“น้อง เก่ง!!?” ผมตกใจร้อง ตายละวา ถ้าลูกเขาบาดเจ็บจะมีหน้าไปคุยกับพ่อแม่เขาไหมเนี่ย ทั้งผมและพนักงานลุกขึ้นไปดูเนื้อตัวน้องเก่งพร้อมกัน โชคดีที่ไม่โดนกาแฟลวก


“นี่! ดูแต่เด็กกันอยู่ได้ ไม่มีใครสนใจฉันบ้างรึไง!” เธอโพล่งขึ้นขัดจังหวะอย่างไม่สบอารมณ์


“คุณ ครับ เดินไปแชทไปไม่ดูทางแบบนี้อันตรายทั้งกับตัวเองและคนอื่นนะครับ” ผมขมวดคิ้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้สุภาพที่สุด


“ก็เด็กมันเดินมาชนเอง! กาแฟพี่หกเรี่ยราดเลยน้องเห็นไหม ลูกใครเนี่ย!?”


“หลาน ผมเองครับ” ผมพูดพลางใช้มือลูบหัวน้องเก่งซึ่งเข้าใจว่าคงขวัญเสีย แต่ดูเหมือนเจ้าหนูจะงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าว่าทำไมต้องเสียงดัง ใส่กัน


“หลานน้องเหรอ เลี้ยงดูยังไงปล่อยให้มาเดินซนไปทั่ว แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” เธอรัวพ่นความหงุดหงิดออกมาเป็นชุด


“แต่หนูเห็นนะคะว่าน้องเขาเดินหลบพี่แล้ว แต่พี่มองไม่เห็นเลยเข้าไปชน” พนักงานสาวออกตัวเป็นพยานให้


“เธอ น่ะเป็นแค่พนักงาน หุบปากไปเลย! ไม่งั้นฉันจะร้องเรียนว่าสาขานี้บริการห่วยแตก แถมสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวลูกค้า” สาวผมสั้นเอ็ดดังขึ้น จนกลายเป็นจุดรวมสายตาของคนในร้าน พนักงานสาวได้ยินดังนั้นก็อ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก


“ให้ หลานน้องขอโทษพี่ซะ จะได้ไม่เคยตัว” เธอชี้กร้าวไปยังน้องเก่ง นี่ถ้าปลายนิ้วชี้แตะถึงหน้าผากน้องล่ะก็สาบานได้ว่าผมเอาเธอตายแน่ ได้แต่กัดฟันกรอดและกำลังคิดว่าจะเอายังไงกับแม่คนนี้ดี


“หลานผมไม่ผิดนะ!” ผมขึ้นเสียงเถียงคืนบ้าง


“นี่ ตกลงกันดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม! หรือจะให้ฉันด่าเสียหมาทั้งเธอทั้งหลาน!” ความเกรี้ยวกราดพุ่งถึงจุดเดือด เธอเท้าสะเอวชี้หน้าจิกทั้งผมและน้องเก่ง ไม่เหลือคราบความเป็นสาวออฟฟิศ แบบนี้ไม่ต่างจากวิญญาณแม่ค้าปากตลาดเข้าสิงร่าง


สิ้นสุดกันแค่นี้ ผมจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป แม่นี่ต้องอับอายจนแทรกแผ่นดินหนี!
.
.
.
.
.
"ผมขอโทษคับ"


น้องเก่งยกมือโค้งตัวไหว้


กระแสจิตของผมระงับลงทันควัน ทำไมน้องเก่งต้องทำแบบนี้ ก็ผมกำลังจะจัดการปัญหาให้แล้วไง?


“ฮึ เห็นมะ! แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง!” เธอคว้ากระเป๋าถือหันขวับสะบัดเอวออกไปจากร้านเมื่อได้เห็นสิ่งที่พอใจ


“เดี๋ยว! มันยังไม่จบ!” ผมตั้งท่าจะเดินตามออกไป แต่น้องเก่งกอดขารั้งผมไว้


“พอเถอะคับอาเต๋อ เก่งอยากกลับบ้านแล้ว”


“น่า. . . น้องเก่ง ขอเวลาอานิดเดียว” ผมพยายามแกะมือน้องเก่งออก จะปล่อยไปง่าย ๆ ได้ไง คนทุเรศอย่างนั้นสมควรได้รับบทเรียนซะบ้าง
.
.
.
ขณะ ผมกำลังหาทางปลีกตัวออกจากน้องเก่ง จู่ ๆ ก็มีถ้วยไอศกรีมซันเดสีสดสวยยื่นผ่านหน้าจนผมต้องระงับกิริยาว้าวุ่นเพื่อ รักษาบุคลิกต่อหน้าผู้อื่น


“เอ้าหนู ลุงให้” ชายวัยกลางคนไว้หนวดยื่นถ้วยไอศกรีมส่งถึงมือน้องเก่ง เด็กน้อยรับไว้อย่างฉงน


“เมื่อกี้ ลุงก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่หนูมีความเป็นลูกผู้ชายมากรู้ไหม บางครั้งเราก็ควรลดการยึดมั่นถือมั่นลงบ้าง ปัญหาจะได้ไม่บานปลายกว่ากว่าเดิม เขาเรียก แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร”


“คุณ สอนหลานได้ถูกต้องแล้วนะ อายุยังน้อยแท้ ๆ หายากนะคนที่เลี้ยงเด็กเป็นในสมัยนี้น่ะ” ผมได้แต่ยิ้มรับ แต่ในใจซ่อนด้วยความคุ่นเขือง แน่ละ ก็มันขัดกับปรัชญาสสารนิยม Action = Reaction ของผมนี่นา


“อีก อย่างนะ คนแบบนั้นสักวันก็เจอดีกับตัวเข้าเองแหละ เวรกรรมมีจริง เราปล่อยให้กรรมจัดสรรเองดีกว่า อย่าเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบ่วงกรรมเลย” ลุงแปลกหน้าเริ่มจ้อยาวเกินงาม ผมจึงรีบแทรกตัดบทก่อนที่ตาลุงนี่จะยกพระไตรปิฎกทั้งตู้มาให้อ่าน


“น้องเก่ง ลุงเขาให้ไอศกรีมนะ ต้องทำยังไงครับ”


“ขอบคุณคับคุณลุง” น้องเก่งโค้งไหว้อีกครั้ง.
.
.
.
ก่อน ออกจากร้านผมเห็นพนักงานสาวชูนิ้วโป้งส่งให้เรา ทำให้ผมแอบฉุกคิดขึ้นมาเล็ก ๆ ว่า บางทีผู้ชนะที่แท้จริงอาจเป็นน้องเก่งอย่างที่ลุงแปลกหน้าพูดไว้ก็ได้


ณ ลานจอดรถข้างห้างสรรพสินค้า สาวออฟฟิศผมสั้นเจ้าอารมณ์กำลังมองหารถตัวเอง ปากคุยโทรศัพท์เพลินลิ้น


“นี่แก ๆ ไม่อยากจะคุย เมื่อกี้น้องใหม่ที่ทำงานโทรชวนฉันไปกินข้าวเที่ยงพรุ่งนี้ด้วยล่ะ หล่อเริ่ดไฮโซมากเลยแก”


“โถ นึกว่าเรื่องอะไร อีเฟิร์นเอ้ย แรดคงเส้นคงวานะหล่อน” ปลายสายตอบรับ


“เอ๊า ก็คนมันสวยช่วยไม่ได้ เรตติ้งยังดีแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย หายหงุดหงิดเลย”


“หงุดหงิดจากไหนอีกล่ะ เรื่องเยอะนะหล่อนน่ะ” ดูเหมือนปลายสายจะคุ้นชินกับเพื่อนจอมเหวี่ยงคนนี้เป็นอย่างดี


“แหม จะหงุดหงิดอะไรซะอีกล่ะ ก็เรื่องเหวี่ยงใส่อีเด็กบ้าที่ทำกาแฟหกไง จะให้รีเพลย์อีกรอบก็ได้นะ สะใจสุด ๆ แกต้องมาเห็นหน้าอีอามันตอนรู้ตัวว่าเอาเรื่องฉันไม่ได้ ฉันเชิ่ดสะบัดก้นใส่หน้ามันไปเลย คิก ๆ ๆ”


“ฉันถามแกหน่อยเถอะเฟิร์น แกเหวี่ยงใส่คนนู้นคนนี้ไปทั่ว ไม่กลัวสักวันจะเจอคนจริงเข้าเหรอ”


“วุ้ย! ใครจะกล้า เกิดเป็นผู้หญิงได้เปรียบจะตาย ใครหือด่ากลับไอ้หน้าตัวเมียมันก็หายซ่าแล้ว”


“เออ ๆ ระวังตัวหน่อยล่ะ ฉันเป็นห่วงแกนะเว้ย”


“อุ๊ย! แก! เจอผู้ชายหล่อมาก ขาวตี๋เกาหลีใส่แว่น ขอส่องก่อน กรี๊ด ๆ” หญิงสาวตัดบทเปลี่ยนเรื่องอย่างเร็วไว


ถัด จากจุดที่สาวจอมเหวี่ยงยืนอยู่ราวสิบเมตร มีชายคนหนึ่งนั่งบริเวณที่พักสำหรับสูบบุหรี่ แต่เขาไม่สูบบุหรี่ ท่าทางเหมือนกำลังรอใครสักคน หญิงสาวมองจากระยะห่างด้วยความเขินอาย


“อยากให้แกมาเห็นกับตา หล่อมาก ๆ เหมาะเป็นพ่อของลู...โอ๊ย!!”


“เป็นอะไรอีเฟิร์น!” ปลายสายร้องถามด้วยความตกใจ


เธอต้องเบิกตาค้างเมื่อพบว่าเลือดไหลออกจากปากไม่หยุด เมื่อก้มมองลงเสื้อผ้าก็มีแต่ร่องรอยเปรอะเปื้อนเลือด


ขา กรรไกรของเธอถูกง้างด้วยพลังงานบางอย่าง ซึ่งเธอก็มองไม่เห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ สัญชาตญาณบอกกับตัวเธอว่านี่ต้องไม่ใช่อุบัติเหตุ มีใครบางคนจัดการเธออย่างไม่ปรานี แต่ก็ป่วยการที่ผู้หญิงตัวคนเดียวจะฝืนแรงต้าน ฟันทุกซี่ถูกถอนออกมาพร้อมกัน กระเด็นร่วงกราวเต็มพื้นโดยมีเลือดแดงฉานเป็นฉากหลัง


“งั่ก ก ก ๆ ๆ” หญิงสาวล้มลงดีดดิ้น เธอไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดใด ๆ ได้ในเวลานี้ สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส


“เฟิร์น! เฟิร์น! แกเป็นอะไร!” ปลายสายยังคงตื่นกลัวที่ไม่สามารถล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อน


“ถ้า เธอรู้ว่าบนโลกนี้มีผู้มีพลังพิเศษเช่นพวกเราอยู่ เธอคงระวังคำพูดมากขึ้น ” ชายบนม้านั่งรำพึงกับตัวเอง ไม่ใยดีต่อเพื่อนร่วมโลกที่นอนโอดครวญ


“ลบหลู่พวกเราคนหนึ่งก็เหมือนทำกับคนทั้งตระกูล โชคร้ายที่เธอรอดมาจากเจ้านั่น ถึงต้องเจอฉันซึ่งร้ายกว่า”


“เพราะ ยังไงซะ ยอมแก้ผ้าอนาจารคงยังดีกว่าถูกถอนฟันหมดปากละนะ หึ หึ หึ” เขาลุกขึ้นจากม้านั่ง หันหลังให้หญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย ทิ้งให้นอนทุรนทุรายอยู่กับบทลงโทษน่าขนลุก


“อ้อ. . .เกือบลืม” จู่ ๆ เขาหยุดกึกเหมือนนึกบางอย่างได้ ยื่นมือไปทางโทรศัพท์ที่หล่นกับพื้น
.
.
.
“เฟิร์น แกอำฉันรึเปล่า!? นี่มันไม่ตลกนะเว้ย!? พูดอะไรบ้างสิ!. . . . .ตูม!!!” โทรศัพท์แชทเจ้าปัญหาถูกบดขยี้แตกกระจายราวกับมีก้อนหินขนาดยักษ์หล่นทับ
.
.
.
“นิสัย ไม่น่ารักก็อย่าใช้โทรศัพท์แบบนี้เลยนะ” ชายลึกลับขยับกรอบแว่นเข้าที่แล้วจึงจากไป. . . . บทเพลงคลาสสิคบรรเลงกล่อมเกลาจิตใจเล็ดลอดจากห้างถึงลานจอดรถ ช่างตัดกับเหตุการณ์สยองขวัญที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง รสอันขัดแย้งกลับผสมกลมกลืนลงตัวเหมือนผลไม้เปรี้ยวฝาดชุบด้วยช็อกโกแลตหอม หวาน

ผมกลับมาส่งน้องเก่ง ถึงห้องเช่าเวลาสองทุ่มเศษ น้องเก่งรีบวาดรูปให้ผมตามคำสัญญาก่อนต้องจากกันไปในรถ ผมจึงใช้โอกาสนี้ขอดูผลลัพธ์แผนที่วางไว้ ใช้ตาทิพย์และโทรจิตเข้าไปดูภายในห้องของภูมิ
.
.
.
ทั้งสองกำลังนั่งุคยกัน ภูมิลูบผมพลอยเหมือนปลอบเด็กตัวเล็ก ๆ


“พลอยขอโทษนะภูมิ พลอยผิดไปแล้ว” เธอสะอึกสะอื้นร่ำไห้ตาแดง


“ภูมิไม่เคยโกรธพลอยเลยนะ” เขายังคงส่งยิ้มเดิมให้พลอยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย


“พลอยจะหางานทำแล้วละ ต่อไปนี้พลอยจะมีภูมิคนเดียวนะ” ทั้งสองมอบโอบกอดแก่กันและกันแนบแน่น
.
.
.
ผม ลองอ่านใจพลอยคร่าว ๆ ก็พอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตลอดวัน ดูเหมือนแผนที่วางไว้ลุล่วงด้วยดี ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ทีนี้ก็เหลือเพียงอย่างเดียว


“อาเต๋อคับ เก่งวาดรูปเสร็จแล้ว” น้องเก่งส่งแผ่นกระดาษให้ผม


“รูปใครน่ะครับ?” ผมมองภาพอย่างเพ่งพินิจ เหมือนหนุ่มออฟฟิศใส่แว่น สวมเชิ้ตกางเกงขาวยาวเนี๊ยบเข้ารูป ท่าทางเต๊ะจุ๊ยไม่เบา


“คนที่ช่วยน้องเก่งไม่ให้เลอะกาแฟคับ” น้องเก่งตอบอย่างมั่นใจ


“ช่วยยังไงครับ?” ผมยิ่งฉงน ตอนกาแฟหกเห็นรอบ ๆ มีแต่ผู้หญิง แต่คนในรูปเป็นผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้


“น้อง เก่งรู้ ถึงเค้าอยู่นอกร้าน แต่เค้าก็ช่วยน้องเก่ง เค้าปัดกาแฟออกให้แบบนี้ ๆ ” น้องเก่งโบกมือประกอบ ท่าเหมือนตัวอะไรบางอย่างขว้างลูกพลัง ผมคิดว่าเราควรจะจบการสนทนาเพียงแค่นี้ก่อนจะเลยเถิดไปกันใหญ่


“เอาเถอะครับน้องเก่ง ขอบคุณมากที่วาดรูปให้อาครับ”


“แต่ว่านะ. . .อามีเรื่องจะขออีกอย่าง” ผมจ้องดวงตาเด็กน้อย และส่งกระแสจิตเข้าภายใน
.
.
.
“พาหลานมาส่งแล้วคร้าบบ” ผมเคาะประตูเบา ๆ หวังว่าสองคนนั้นคงไม่ได้จู๋จี๋กันอยู่นะ
ประตูเปิดออก ภูมิออกมาต้อนรับผมด้วยใบหน้าสดชื่น


“เหนื่อยไหมเต๋อดูแลเด็กน่ะ น้องเก่งไปซนอะไรให้อาเต๋อโกรธรึเปล่าครับ” ภูมิทักทายอย่างอารมณ์ดี ส่วนพลอยก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน


“พ่อภูมิ ๆ อาเต๋อซื้อตัวต่อให้ด้วย”


“ว่าไงนะ. . .” ภูมิทวนขึ้น


“โอ๊ย ของเล่นน่ะเหรอ เรื่องเล็กน้อย อย่าใส่ใจเลย” ผมตบไหล่เขาแสดงถึงความกันเอง


“ไม่ ๆ เมื่อกี้น้องเก่งเรียกพ่อภูมิรึเปล่า?” ภูมิเขย่าตัวน้องเก่งอย่างตื่นเต้น


“คับ? พ่อภูมิ? น้องเก่งพูดผิดเหรอคับ ” น้องเก่งหันซ้ายขวาอย่างไม่แน่ใจ


“เต๋อสอนน้องเหรอ?” ภูมิถามผม หน้าเจ้าตัวอมยิ้มแทบจะระเบิดออกมา ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ส่งยิ้มคืน


“ดีแล้วละ เรียกพ่อภูมิน่ะดีแล้วลูก” พลอยเข้ามากอดน้องเก่ง


“ต่อไปนี้จะมีเราสามคนพ่อแม่ลูกนะ” เธอสรุปความคิดรวบยอดได้ง่ายแต่กินใจ หน้าที่ของผมจบลงแล้ว


เอา ล่ะ ผมไม่ควรจะอยู่ขัดขวางความสุขของครอบครัวนี้ อีกอย่างพรุ่งนี้ผมมีประชุมแอนนาเบลล์แต่เช้า ผมตกลงว่าจะหางานใหม่ที่รายได้สูงกว่านี้ให้ภูมิ แต่ต้องขอเวลาให้ผมกลับไปเตรียมตัวก่อน คู่รักทั้งสองตอบรับ ในใจผมไม่คิดอะไรนอกจากสองคนนี้เป็นเพื่อนเก่าที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีอยู่


ฝน ตกได้จังหวะพอดี มันเป็นฝนหลงฤดู หรือไม่ก็คงน้ำตาเทวดาที่ซาบซึ้งกับสามพ่อแม่ลูกกระมัง ภูมิหยิบร่มให้ผมเอาติดตัวไป แม้ผมจะยืนกรานว่าฝ่าฝนไปได้ก็ตาม เถียงไปเถียงมาผมก็แพ้ให้กับความตื้อของหมอนี่จนได้
.
.
.
“เต๋อ ภูมิมีอะไรอยากพูด ” ไม่บอกก็รู้ว่าเขาเตรียมวาทะก่อนลา เพียงแต่ผมไม่ทราบว่าเรื่องใด


“ขอบคุณมากนะ พบกับเต๋อครั้งนี้เหมือนภูมิเจอเทวดาเลย” ภูมิยิ้ม


“เหอะ ผมชอบเป็นฝ่ายมารมากกว่า ฤทธิ์เยอะดี” ต้องตอบสำบัดสำนวนซะหน่อย


“แล้วก็เรื่องคืนนั้น. . .ภูมิไม่ได้ทำเพราะเมานะ” ภูมิก้มหน้าเหมือนกำลังถูกไต่สวนคดีความ


“ภูมิอยากบอกเต๋อว่า. . . ว่า . . . เอ่อ . . .ว่า” เขายังคงอ้ำอึ้ง ใบหน้าแดงฉ่ำเหมือนแตงโม


“โอเค!. . . ไม่ต้องพูดแล้ว รู้หรอกน่า!” ผมตบหลังภูมิทำเป็นเฮฮา ได้ยินหมดแล้วละ เสียงในใจเจ้านี่ดังออกซะขนาดนั้น


“ผมก็รู้สึกแบบเดียวกับนายนะภูมิ แต่. . .เป็นแบบนี้ดีที่สุดแล้วละ” เราสวมกอดกัน ไร้คำพูดใด ๆ นอกจากความรู้สึก


ขอบ คุณมากนะภูมิที่ทำให้ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมีค่า แต่การเดินทางของผมยังไม่จบสิ้น ผมไม่ต้องการให้ใครต้องพัวพันกับเรื่องสกปรกหยาบช้าของผม ทางเดินที่เขาเลือกไว้ผมก็จัดการให้อยู่กับร่องกับรอยเรียบร้อยแล้ว หวังว่าสามคนนี้คงมีความสุขและดูแลกันได้โดยไม่ต้องมีผม พวกเขาเข้มแข็งมากพอที่จะใช้ชีวิตเหมือนครอบครัวอื่น ๆ และนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นมากที่สุด
.
.
.
.
ส่วนคำที่นายเปล่งออกมาในใจ ผมจะขอเก็บเป็นความลับให้อยู่กับตัวเองตลอดไป
.
.
.
ผมกางร่มเดินไปลานจอดรถด้วยหัวใจชุ่มฉ่ำ ไม่ต่างจากสายฝนที่โปรยปรายลงมา

นานมาแล้วนับตั้งแต่ที่ผมเลือกทางนี้และไม่เคยได้สัมผัสแง่งามภายในจิตใจมนุษย์

สักวันเมื่อภารกิจสิ้นสุดลงแล้ว ผมวาดฝันว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป

หวังว่าคงจะมีใครสักคนยินดีอยู่เคียงข้างผมเหมือนคู่ของภูมิและพลอย
.
.
.
“อารมณ์ดีจังนะครับหนุ่มน้อย”
.
.
.
เจ้าของเสียงทักทำให้ผมต้องหันกลับมอง เขาหมายถึงผมแน่ ๆ
.
.
.
ชาย ที่อยู่ตรงหน้าผมท่าทางอายุมากกว่าผมไม่กี่ปี เขาสวมเชิ้ตสีน้ำเงินกางเกงสแล็คสีครีมสะอาด เนคไทค์จัดอย่างพิถีพิถัน รูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นเรียบร้อย สวมแว่นกรอบดำหนา พลางนึกไปถึงนายธนาคารที่ไหนสักแห่ง
.
ไม่ใช่สิ
.
.
ผมควรจะนึกถึงรูปที่น้องเก่งวาดให้ผมมากกว่า
.
.
ชาย ผู้ปัดกาแฟไม่ให้ลวกเนื้อตัวเด็กน้อยจากนอกร้าน ก่อนหน้านี้ผมอาจคิดว่าเป็นจินตนาการเพ้อฝันของเด็กไม่รู้ประสีประสาคนหนึ่ง แต่นาทีนี้ผมคงต้องกลับมาทบทวนเสียใหม่ ผมอาจถูกสะกดรอยตาม
.
.
.

เจ้านี่ไม่มีร่ม ยืนอยู่กลางแจ้ง แต่ร่างกายกลับไม่เปียก. . .ไม่เปียกแม้แต่น้อย
.
.
.
เมื่อ จับตามองอย่างตั้งใจก็เห็นเม็ดฝนคณานับถูกดีดออกรอบกาย เฉพาะบริเวณที่เขายืนอยู่เท่านั้นที่ไม่มีร่องรอยของความเปียกชื้นใด ๆ ราวกับมีครอบแก้วกั้นตัวไว้จากโลกภายนอก
.
.
.
ไม่ว่านี่คือปาหี่ข้างถนนหรือมายากลชั้นสูงก็ตาม ก็ยังหาใช่สิ่งที่ผมกริ่งเกรงได้มากไปกว่า. . .
.
.
.
.
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้โทรจิตอ่านใจคนไม่ได้
.
.
.
จบตอนที่ 10 เหี้ยมยิ่งกว่า

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 9 ตาสว่าง

"แนวสะกดจิตเรื่องใหม่:แค้นวิปริต จิตสั่งกาม"

โดย
โทรจิตคุง Palm-Plaza.com Forum

ตอนที่ 9 ตาสว่าง

หอศิลป์ประจำคณะ ศิลปกรรมที่กันย์เรียนนั้นจัดได้ว่าค่อนข้างเก่าแก่ อบอวลด้วยจิตวิญญาณเหล่าศิลปินที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น บรรยากาศเจือกลิ่นอนุรักษ์นิยมนี้ทำให้ทุกซอกมุมของห้องจัดแสดงเต็มไปด้วย มนต์ขลัง จนอาจกล่าวได้ว่าใครก็ตามซึ่งแม้ไม่ได้เรียนทางจิตรกรรมหรือศิลปะแขนงใด ๆ ต่างต้องถูกสะกดให้สำรวมทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในหอศิลป์ทุกรายไป
.
.
.
“เช็คความเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วละนะ พรุ่งนี้คงเปิดงานได้ราบรื่นดี” นักศึกษาชายคนหนึ่งพูดขึ้น
.

“คณบดี จะมาเปิดงานมั้ยเนี่ยะ? ครั้งที่แล้วก็สายเกือบชั่วโมง ปิดมือถืออีก ทำเอาใจหายใจคว่ำ ฉันเป็นพิธีกรต้องถ่วงเวลาแทบตาย คนไม่พอใจก็ด่าผ่านฉันยังกับเป็นกระโถนบ้วนน้ำลาย” นักศึกษาหญิงส่ายหัวเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์


“เถอะ น่า พรุ่งนี้คงไม่มีปัญหาหรอก อย่าลืมสิครั้งนี้มีโชว์ภาพพี่กันย์ที่เพิ่งสอยรางวัลจากมิลานหมาด ๆ สื่อมวลชนก็มา งานนี้คณบดีปลื้มยิ้มปากฉีกถึงหู แกมาเอาหน้าแน่นอนไม่ต้องห่วง” นักศึกษาชายตบไหล่เพื่อนหญิงว่าที่พิธีกรเบา ๆ ให้คลายความกังวลใจ


“แต่. . .แกอ่ะ ฉันรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้ สังหรณ์ใจไม่ดีเลย”


“แกกลัวอะไร” นักศึกษาชายถามกลับ แววตาแฝงความความห่วงใยเจือรำคาญ


“นี่ แกไม่รู้เหรอ พี่กันย์เล่นยานะ บางครั้งก็เอามาพี้ตอนวาดรูปในคณะ แถมบางทีก็หิ้วผู้หญิงขึ้นมาพลอดรัก” เธอหันซ้ายหันขวาแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เบากว่ากระซิบนิดเดียว


“โธ่ เอ๊ย นึกว่าอะไร ใครเขาก็รู้ แต่ทำไงได้ นามสกุลใหญ่โตนี่นา แถมสร้างชื่อเสียงให้กับคณะตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ทุกคนเลยแกล้งหลับตาข้างนึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ถ้าจะดิสเครดิตเขาละก็บอกไว้เลยว่าคนที่เดือดร้อนจะเป็นแกแทน พวกอาจารย์ไม่เล่นด้วยแน่ ๆ” นักศึกษาชายขยายประเด็นต่อไปยังการเมืองในคณะอย่างเผ็ดร้อน


“แหม อีนี่นิ. . .” เธอหยิกแขนเขาอย่างหมั่นไส้ “ฉันไม่ได้จะทำตัวเป็นเซเลอร์มูนจัดการพี่กันย์ซะหน่อย แต่หมายถึง. . .” เธอค้างไว้แค่นั้น


“หมายถึงอะไรวะ แกก็พูดมาไว ๆ ดิ ลีลาอยู่ได้”


“ฉันเคยคิดเล่น ๆ น่ะว่าถ้าพี่เขาเมายาแล้วขึ้นเวทีล่ะก็…จะเกิดอะไรขึ้น”


“อุ วะ! แกนี่ชักจะเพี้ยนใหญ่แล้ว ต่อให้เขาติดยา แต่งานระดับนี้ก็ต้องระวังตัวอยู่แล้วละ ใครจะบ้าทำลายอนาคตตัวเองวะ คิดมาก ไร้สาระว่ะ” นักศึกษาชายยักไหล่ด้วยความระอา


“ถ้า คิดว่าไร้สาระแล้วแกจะถามทำไม อีบ้า!” นักศึกษาสาวระดมตีหลังเพื่อนชาย เล่นบทพ่อแง่แม่งอนกันยังกับลิเกหลงโรง วิ่งไล่รอบห้องจัดนิทรรศการอุตลุด ต่อมาไม่นานเกิดสำนึกได้ว่าช่างเป็นการเล่นที่เสียเวลาและเหนื่อยโดยเปล่า ประโยชน์จึงผ่อนฝีเท้าลง และถึงได้เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนจับจ้องพฤติกรรมของพวกเขาได้สักระยะหนึ่ง แล้ว

.
.
.

“พ. . .พี่กันย์” นักศึกษาหญิงตกใจแต่ก็รีบยกมือไหว้ลวก ๆ ในใจนึกซวยที่ไม่น่านินทาเหมือนเป็นการทักผี ส่วนนักศึกษาหนุ่มวางตัวไม่ถูกนอกจากเกาศีรษะและยิ้มแหย


กันย์ปล่อยผมยาวลงมาคลุมหน้า เผยให้เห็นดวงตาเพียงข้างเดียวเหมือนในหนังผีเกาหลี เขายื่นแขนมาทางรุ่นน้องทั้งสอง ดูเหมือนฝ่ายชายจะเห็นความไม่ชอบมาพากลจึงออกตัวมาอยู่ด้านหน้าเพื่อบัง เพื่อนหญิงไว้


“กุญแจ. . .” กันย์เอ่ยขึ้น ทรงผมปิดหน้า ขอบตาโหลลึก ท่าทีเยื้องย่าง และสองมือที่ยื่นเข้าหาเหมือนคนจรขอเศษเงินทำให้ทั้งสองอยากวิ่งหนีโดยเร็ว แต่ด้วยมารยาทที่รุ่นน้องพึงปฏิบัติจึงต้องฝืนแบ่งรับแบ่งสู้


“กุญแจอะไรครับ?” รุ่นน้องชายถามต่อ


“เอากุญแจหอศิลป์มา. . .” แววตาแฝงความไม่น่าไว้ใจจากกันย์ ทำให้นักศึกษาชายเผลอเอามือกุมกุญแจในกระเป๋ากางเกงโดยไม่รู้สึกตัว


“คืนนี้ฉันจะจัดแกลลอรี่ใหม่ นี่ยังไม่เรียกว่าศิลปะที่แท้จริง…” กันย์พูดต่อ


“แต่พี่ครับ พวกผมเป็นคนรับผิดชอบกุญแจที่ยืมมานะ ส่งต่อให้คนอื่นคงไม่ดีมั้งครับ” รุ่นน้องให้เหตุผล


“ส่งกุญแจมา!!” กันย์ตะคอก สองตาถมึงทึงแทบทะลุนอกเบ้า


“ให้ พี่เขาไปเถอะ! เร็ว ๆ!” นักศึกษาหญิงเขย่าแขนเพื่อนชาย เธอรู้ว่ากันย์มีบางอย่างที่ผิดปกติ และความปลอดภัยควรมาก่อนการหวงกุญแจเพียงไม่กี่ดอก


“ฉันจะรับผิดชอบเอง ส่งกุญแจมาได้แล้ว!!”


กันย์ ยืนกราน และเมื่อรุ่นน้องชายนึกภาพในหัวว่าหากยังไม่มอบให้ดี ๆ ละก็ สองมือที่ยื่นมานั้นอาจพุ่งเข้ามาบีบคอตนเองก็เป็นได้ จึงยอมจำนนส่งกุญแจให้แม้จะพะว้าพะวงก็ตาม นักศึกษาหญิงจูงแขนเพื่อนเดินจ้ำอ้าวออกไปจากหอศิลป์อย่างไม่คิดชีวิต ขณะฝ่ายชายทำได้แค่เพียงเหลียวหลังมองกันย์ที่เดินสำรวจพื้นที่จัดงาน เขาได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้

เช้าวันต่อมา ผมได้ดำเนินแผนอีกขั้น เมื่อสองส่วนนี้ประสานกัน ทุกอย่างคงจะเสร็จสมบูรณ์ เหตุที่ใช้คำว่า “คงจะ” เพราะการสะกดจิตครั้งนี้เป็นประเภทที่หากเลี่ยงได้ผมก็ไม่อยากใช้เท่าไหร่ นั่นคือการสะกดจิตทิ้งคำสั่งให้ฝังอยู่ในหัวเหยื่อแล้วปล่อยให้จัดการ ทุกอย่างเองแบบอัตโนมัติ จะว่าไปก็เหมือนปล่อยวัวควายให้ออกไปหากินตามทุ่งหญ้าบ้านนา เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะตัวผมไม่สามารถอยู่คุมเชิงได้ ผมรู้อยู่แล้วว่าแผนนี้มีช่องโหว่ นั่นคือเรื่องของ “น้องเก่ง”


“พลอย จะไปไหนแต่เช้าน่ะ” ภูมิหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก ส่วนพลอยบรรจงฉีดพรมน้ำหอมทั่วกาย เสื้อผ้าหน้าผมที่จัดแต่งอย่างดีบ่งบอกระดับความสำคัญกิจธุระ


“มีเรื่องต้องทำ” เธอตอบสั้น ๆ พร้อมคว้ากระเป๋าถือและส้นสูงออกมาใส่อย่างรีบรน


“แล้วใครจะรับส่งน้องเก่งไปโรงเรียน” ภูมิเลิกลั่กขึ้น หันไปทางพลอยที ทางน้องเก่งที


“ไม่ต้องห่วง ผมอาสาเอง” เมื่อภูมิหันไปอีกทางก็พบว่าผมแต่งตัวพร้อมเสร็จสรรพยืนควงกุญแจรถรออยู่แล้ว


“ไม่ได้หรอก รบกวนเต๋อเปล่า ๆ ”


“ให้พลอยไปทำธุระเถอะ ส่วนนายก็เข้างานปกติ ผมจะรับส่งน้องเก่งเอง ระหว่างวันจะได้ขับรถเล่นแถวนี้ด้วย”


ภูมิ คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ เพราะเมื่อหันกลับมาอีกทีพลอยก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว ผมยิ้มและยักคิ้วให้เขาเป็นเชิงทึกทักเอาว่าควรทำทุกอย่างตามที่ผมคิดไว้ให้ น่ะดีที่สุดแล้ว
.
.
.
หลังจากผมส่งน้องเก่งเข้าเรียนก็มีเวลา ขับรถกินลมชมวิวตลอดวัน มันช่างว่างเกินไปเสียจนออกไปทางน่าเบื่อด้วยซ้ำ แม้ค่าน้ำมันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม แต่สำนึกสาธารณะฉุกเตือนขึ้นมาเองว่าการขับรถอย่างไร้จุดหมายเพียงเพื่อฆ่า เวลานั้นเป็นการผลาญเชื้อเพลิงซึ่งไม่สมควรทำ ผมจึงจอดพักที่ละแวกตึกแถวใกล้ตลาดแห่งหนึ่ง บริเวณนี้คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ขายและผู้จับจ่ายใช้สอย ผมเลือกเข้าร้านข้าวหมูแดงเพราะไม่รู้จะเลือกมากไปทำไมและเห็นว่าสั่งง่าย กินง่ายดี


“ข้าว หมูแดงใส่ไข่จานนึง แล้วก็น้ำมะขามครับ” หลังจากผมสั่งมื้อสายเรียบร้อยแล้วก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่ทางร้านจัดไว้ขึ้น มาอ่านระหว่างรออาหาร แทบอยากขยุ้มทิ้งเมื่อเห็นรูปไอช่าขึ้นหราในหน้าบันเทิง นาทีนี้เธอคงมาแรงแซงโค้งกลายเป็นเจ้าหญิงคนใหม่แห่งวงการมายา ต่อให้ช้างม้าวัวควายมาฉุดก็เอาไม่อยู่แล้วล่ะมั้งนี่


ชั่ว ครู่นั้นเอง ดูเหมือนจะมีสิ่งแย่งความสนใจจนผมลืมข่าวบันเทิงของไอช่าไปถนัด หนังสือพิมพ์เก่าที่วางไว้ชั้นใกล้เคียงมีพาดข่าวชวนสะดุดตายิ่งกว่า


“ดับแว้นปาหิน ตายสยองสองศพ”


ใน คราแรกไม่เอะใจว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุที่ผมประสบเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา หรือเปล่า แต่เมื่ออ่านอย่างละเอียดก็ทำเอาผมไม่อยากกินข้าว จุดเกิดเหตุเป็นถนนซึ่งผมเคยขับผ่านตอนตีสี่ในวันที่จัดการกับแจ็ค และรูปพรรณสันฐานของศพก็เหมือนกับเด็กที่ปาหินใส่ผม ผมค่อนข้างมั่นใจแม้จะมีเวลาจดจำรายละเอียดเพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม


บาง ที เด็กสองคนนี้อาจถึงฆาตก่อนผมไปถึงบริเวณนั้น และภาพที่เห็นก็คงหนีไม่พ้น. . .พอดีกว่า ผมไม่ควรหาเรื่องให้กระเพาะตัวเองย่อยอาหารลำบาก คิดได้เช่นนั้นจึงวางหนังสือพิมพ์เก็บที่เดิมแถมคว่ำหน้าซะ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน ข้าวหมูแดงราดน้ำปรุงรสฉ่ำเยิ้มที่พร้อมเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าชวนรับประทานยิ่ง นัก


ผม ทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยพลางนึกถึงแผนที่วางไว้ ซึ่งก็คือการสะกดจิตให้พลอยเดินทางไปหากันย์ เนื่องจากผมไม่สะดวกเทียวไปเทียวมารับส่งพลอยเพราะต้องคำนึงถึงน้องเก่งด้วย จึงไม่สามารถตามไปกำกับคนทั้งสองได้ การใช้โทรจิตควบคุมคนหรือใช้ตาทิพย์ตรวจความคืบหน้าของผมยังคงมีขอบเขตการ ใช้งานที่ถูกจำกัดด้วยระยะทาง

.
.
.
หวังว่าทุกอย่างคงจะไม่เบี่ยงเบนไปจากการคาดคะเนผลลัพธ์ของผมมากนัก

“ฉันมาที่นี่ทำไมกันนะ?”


พลอย ตั้งคำถามให้ตัวเอง เธอยืนมองหอศิลป์อย่างฉงน รู้สึกประหม่าไปในทันทีเมื่อรู้สึกว่าตนอยู่ในสภาพหัวเดียวกระเทียมลีบ เธอรู้ตัวดีว่าเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติในงานนี้ กระนั้นก็อุ่นใจลงบ้างเมื่อเห็นรายละเอียดบนโปสเตอร์ที่แปะติดกำแพงว่า นิทรรศการครั้งนี้เปิดให้บุคคลผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าชมได้


ท่า ทางงานนี้จะวุ่นวายพอสมควร ผู้คนร้อยพ่อพันแม่เดินเข้าออกขวักไขว่ แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร พลอยจึงใช้โอกาสนี้แฝงตัวเดินเข้างานไปกับคนรอบข้างอย่างแนบเนียน แต่เมื่อเธอเข้ามาในหอศิลป์ก็ไม่ต่างจากนักเดินป่าไม่พกเข็มทิศ เคราะห์ดีที่เสียงปรบมือสนั่นก้องกังวานช่วยนำทางให้เธอทราบว่าควรจะพาตัว เองเข้าไปอยู่ในจุดใด พลอยดิ่งตรงไปยังห้องประชุมโถงกลางซึ่งยังอยู่ในช่วงกำลังเปิดงาน ภายในห้องเต็มไปด้วยคณาจารย์ นักศึกษา สื่อมวลชน และผู้สนใจทั่วไป ทั้งนั่งเก้าอี้และยืนชมเกือบสองร้อยคนโดยประมาณ


“และวันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษทีเดียวค่ะ พวกเราจะได้ชื่นชมผลงานชุด “สุขเหนือนิพพาน” ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทภาพสีน้ำมัน ในงานสัปดาห์จิตรกรรม ครั้งที่ 34 จัดขึ้นโดยสมาคมศิลปะนานาชาติ ณ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี นำความภาคภูมิใจมาสู่ประเทศไทย ซึ่งเจ้าของผลงานก็เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ของเราเอง ค่ะ วันนี้เขาจะมาเปิดเผยถึงแนวคิดและเคล็บลับวิธีสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการวาด ภาพแนวกึ่งนามธรรม เอาล่ะค่ะ เขาอยู่กับเราตรงนี้แล้ว ขอเสียงปรบมือต้อนรับ คุณเกียรติพิทักษ์ จิรวรกาล หรือพี่กันย์ เอกจิตรกรรมของเราด้วยค่า!” นักศึกษาสาวผู้รับหน้าที่พิธีกรกล่าวลื่นไหลประดุจผ่านชั่วโมงบินมาหลายเวที เธอคือหญิงสาวคนเดียวกับคนที่เตรียมงานเมื่อคืนนี้นั่นเอง


กันย์ ปรากฏกายโดยก้าวเดินช้า ๆ ออกมาจากข้างเวทีด้วยทีท่าสงบเสงี่ยม เขาก้มมองฝ่าเท้าตัวเอง สองมือประสานด้านหน้าราวกับนักพรต ปล่อยผมยาวพลิ้วไสว และสวมชุดคลุมสีขาวล้วนคล้ายภูตเอลฟ์หรืออมนุษย์บางจำพวกที่ยังจัดว่าน่า เลื่อมใส ภาพดังกล่าวเรียกเสียงเฮฮาผิวปากจากเพื่อนร่วมรุ่นและเหล่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ได้อย่างท่วมท้น อันที่จริงก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่นักศึกษาสาขาวิชานี้จะแสดงเอกลักษณ์ประจำ ตนเกินความพอดีออกมาบ้าง อย่างไรก็ตามดูเหมือนรางวัลใหญ่ที่เขาคว้ามาได้จะถูกแปรสภาพกลายเป็นบุญคุณ กึ่งสำเร็จรูป ผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในงานจึงพยายามมองข้ามพฤติกรรมตรงนี้ไป


เนื้อ ตัวพลอยสั่นเทา เปี่ยมไปด้วยความตื้นตัน สองตาคลอด้วยน้ำตาแห่งปีติ ผู้ชายที่เธอรักที่สุดอยู่ตรงหน้าเธอนี้เอง ใบหน้ายังคงความงามหมดจดราวอิสตรี ผิวผุดผ่องดั่งทวยเทพที่สถิตบนสวรรค์ วันนี้เขาประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือ ส่วนเธอทำได้แค่มีลมหายใจไปวัน ๆ ผ่านการเป็นกาฝากดูดน้ำเลี้ยงจากหัวใจผู้ชายซื่อคนหนึ่ง เธอเจียมตนเองและยิ่งสำนึกว่าไม่คู่ควรกับกันย์ จึงถอยมาหลบแอบดูกันย์บริเวณหลังสุดของห้อง ขอให้เธอได้ชื่นชมแก้วที่ไม่อาจเอื้อมอยู่ห่าง ๆ ก็สุขใจแล้ว


“เฮ้ย นี่ทำอะไรของมึงน่ะ?” เสียงผู้ชายคุยกันที่ดังขึ้นข้าง ๆ ทำให้พลอยแบ่งสติให้รับรู้เหตุการณ์รอบตัว


“พี่ กันย์เขาจัดการของเขาเอง กูไม่เกี่ยวนะโว้ย แม่งคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าภาพหรือไงวะ ได้รางวัลมาแค่นี้ทำเบ่ง” นักศึกษาชายฝ่ายเตรียมงานคนเมื่อวานเอ่ยขึ้นกับเพื่อน พวกเขาต่างพากันวิจารณ์ภาพวาดที่แปะผนังเรียงรายอยู่ทั่วงานแต่ถูกผ้าขาว คลุมปิดทับไว้ โดยกันย์อ้างว่าทุกคนต้องได้ชมภาพเปิดงานของเขาบนเวทีก่อน จากนั้นถึงจะอนุญาตให้เปิดผ้าคลุมให้เยี่ยมชมผลงานของนักศึกษาคนอื่น ๆ ได้


“แล้วเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์เปิดออกวะ กูว่าเดี๋ยวแม่งก็ใช้ให้พวกเรานี่แหละเป็นคนแกะออก”


“มัน ก็แหงอยู่แล้ว แต่ว่านะ. . .กูชักรู้สึกทะแม่ง ๆ ว่ะ” นักศึกษาชายฝ่ายเตรียมงานพูดด้วยน้ำเสียงกังวลใจ เขาลองแง้มผ้าคลุมออกมาเล็กน้อย


“ฉิบหายแล้วไง!” ทั้งคู่อุทานพร้อมกัน พลอยซึ่งตามไม่ทันคงทำได้เพียงแต่ตีหน้าสงสัย
.
.
.

การสัมภาษณ์บนเวทียังคงดำเนินต่อไป พิธีกรหญิงเดินงานได้อย่างกระชับ จนกระทั่งถึงเวลาส่งไมค์ให้กันย์


“แต่ เดิมผมตั้งชื่อผลงานนั้นว่า สุขเหนือนิพพาน แต่เมื่อมาคิดดูอีกรอบแล้วก็พบว่า มนุษย์เปื้อนกิเลสอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คงไม่มีความจำเป็นต้องลิ้มลองรสแห่งนิพพาน เป็นเรื่องเกินการหยั่งรู้ของปุถุชน เราน่าจะสนใจความสุขที่สามารถสร้างขึ้นเองได้ง่าย ๆ มากกว่า” กันย์กล่าวถึงแนวคิด
.

“ผมจึงเผารูปนั้นทิ้งไปแล้ว. . .” ประโยคนี้ทำเอาเกิดเสียงฮือฮามองหน้าซ้ายขวากันทั้งห้องประชุม


“และ นี่คือผลงานที่ผมรังสรรค์ขึ้นใหม่แทนภาพเก่า” เขาเดินไปกระชากผ้าขาวซึ่งคลุมภาพวาดบนเวทีไว้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทันทีที่ผืนผ้าถูกปลดเปลื้องออก ผู้คนทั้งหอประชุมต่างเงียบกริบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
.
.
.

ภาพ ดังกล่าวเป็นรูปของผู้ชายสองคนสอดใส่ท่อนลำหลั่งน้ำกามระเบิดคาช่องคลอดและ ทวารหนักของฝ่ายหญิง คนในรูปทั้งสามแสดงสีหน้าเปี่ยมสุขล้นหลามดุจล่องลอยสู่สรวงสวรรค์


“ผมขอให้ชื่อภาพนี้ว่า “นิพพานช่างแม่ง แยงหญิงดีกว่า” ” กันย์พูดต่ออย่างเมินเฉยปฏิกิริยาผู้คนในห้อง
.
.
.
“พ. . .พี่กันย์. . .คะ?” พิธีกรหญิงหน้าถอดสี เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบาและลดไมค์ลง เธอไม่คิดว่านี่คือตลกร้าย เพราะมันเกินขอบเขตที่จะมีคำว่าตลกเป็นส่วนประกอบ


“อีเวร! มึงไม่ซาบซึ้งไปกับกูเลยเหรอ!” กันย์พูดออกไมค์เสียงเต็มพิกัด ดังพอที่จะได้ยินไปถึงหน้างาน


“พวก มึงจะทำติสต์แตกสนองจิตวิญญาณแล้วมันได้เหี้ยอะไรขึ้นมา มีความสุขอยู่กับเรื่องเย็ด ๆ ยัด ๆ น่ะดีแล้ว!! ไอ้หน้าหี อีร่านควย!!” เขาเริ่มระเบิดด้านมืดในจิตใต้สำนึกออกมา บัดนี้ระเบิดเวลาที่เต๋อวางไว้ทำงานแล้ว!


“พี่ กันย์คะ สงบลงก่อนเถอะค่ะ” เธอเลิกลั่ก ต่อให้รุ่นน้องคนนี้ช่ำชองผ่านมาสักกี่เวทีก็คงคาดไม่ถึงว่าจะเจอปัญหาเฉพาะ หน้าฉีกกรอบขนาดนี้ ตำราพิธีกรมืออาชีพเล่มไหนก็ไม่มีเขียนไว้เป็นแน่


“เอ้า! สมมติว่าไมค์นี่เป็นควย!! ไหนมึงอมซิ!” กันย์ยัดเยียดด้ามไมค์โครโฟนในมือใส่ปากพิธีกรรุ่นน้อง เธอขัดขืนและกรีดร้องลั่น ผู้คนด้านล่างได้สติและวิ่งกรูขึ้นมาเพื่อยับยั้ง เกิดเสียงอลหม่านเอ็ดตะโรจนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าใครพูดถึงอะไรกันแน่ พลอยยังคงยืนตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เธอต้องถ่อมาถึงที่นี่เพื่อการนี้เองหรือ


“หยุด!! ไอ้พวกไพร่! อย่าถูกเนื้อต้องตัวกู!!” กันย์แหวกผ้าคลุมตัวออก ข้างในไม่ได้ใส่อะไรเลยแม้แต่กางเกงใน ทำเอากลุ่มคนที่ขึ้นมาช่วยถอยกรูดขอไปตั้งหลักที่ขอบเวที ส่วนพิธีกรสาวอาศัยจังหวะนี้กระโดดจากเวทีหนีรอดหวุดหวิด


“ผิว กูงดงามใช่ไหม! ห้ามใครแตะต้องเด็ดขาด! นี่คือรูปกายของเทพเจ้าที่จุติมาเพื่อปลดปล่อยพวกมึงให้บรรลุสัจธรรมสูงสุด. . .คือการเย็ดสดแตกใน!” เขาใช้จังหวะที่ผู้คนทำอะไรไม่ถูกร่ายคติกักขฬะ พร้อมแหวกผ้าคลุมกว้าง เผยของลับหันหน้าให้สื่อมวลชนถ่ายรูปชัด ๆ ดูเหมือนว่าสกู๊ปข่าวการศึกษากรอบเล็ก ๆ จะได้ย้ายไปอยู่พาดหัวหน้าหนึ่งเสียนี่กระมัง คณบดีหนีปัญหาอย่างง่ายดายด้วยอาการหน้ามืดลมจับ ปล่อยให้ลูกศิษย์ลูกหาแก้ปัญหากันเอง


“รับ น้ำมนต์จากเทพเจ้าไปซะ!! เคี๊ยก ฮ่า ๆ ๆ ๆ” กันย์จับของสงวนไว้มั่น แล้วจึงปล่อยปัสสาวะเล็งเป้าเรี่ยราดใส่ทั้งผู้ร่วมงานด้านล่างและพวกที่ ขึ้นมาระงับเหตุบนเวที สามัญสำนึกทำให้ทุกคนต้องหลบเลี่ยงสายน้ำเหลืองอ๋อยแม้จะรู้อยู่ว่ามันไม่มี อันตรายอะไรไปมากกว่าความน่าขยะแขยง เหตุโกลาหลทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ


“พี่ ครับ ๆ ช่วยพวกผมแกะรูปหน่อย!!” เด็กหนุ่มฝ่ายเตรียมงานสะกิดพลอยซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด ขณะที่ผู้ร่วมงานบางส่วนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเริ่มทยอยหนีออกจากห้องโถงประชุม คนมากมายสวนผ่านพลอยที่แข็งนิ่งเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิต เธอรู้สึกหมดแรงจนแทบล้มทั้งยืน


“ขอ ร้องล่ะพี่! เพื่อนคนอื่นกระจายไปคนละทางแล้ว ผมต้องรีบเก็บรูปพวกนี้” เด็กหนุ่มสะกิดอีกครั้งและยกมือไหว้จนเกือบกราบ พลอยเหม่อลอยปล่อยตัวเข้าช่วยเด็กหนุ่มแกะรูปที่แขวนตามผนัง โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซื่อสัตย์ต่อรักแรกจนถึงวันนี้เพื่ออะไร นี่หรือค่าตอบแทนของการรอคอย


“ชิชะ! มึงทำอะไร! หยุดบัดเดี๋ยวนี้!” กันย์กระโจนจากเวทีพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มที่กำลังแกะรูป เขาตัดสินใจผละจากภารกิจทั้งหมดเพื่อหนีเอาตัวรอด ระหว่างที่กันย์ตรงดิ่งเข้าหาเด็กหนุ่มได้วิ่งสวนชนไหล่พลอย ไร้วี่แววว่าเขาจำเธอได้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิ เธอรู้อยู่แล้วว่ากันย์ไม่เคยมีเยื่อใยให้เลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาคือการหลอกตัวเอง และการพบกันครั้งนี้ก็คงเป็นการเดินเข้าหาความจริง ความจริงอันเจ็บปวด เจ็บปวดกว่าที่เธอคิด เธอนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าสิ่งใดทำให้เทพบุตรอย่างกันย์ต้องกลายเป็นชีเปลือยไล่กวดคนพล่านไปทั่ว

.
.
กันย์ วิ่งกราดฉีกผ้าคลุมภาพอื่น ๆ ในห้องจัดแสดงออก มันไม่ใช่ภาพที่คนอื่นวาดขึ้นตามที่จัดไว้ตั้งแต่แรก แต่เป็นภาพที่เขาวาดขึ้นเองใหม่ แต่ละภาพเป็นการสมสู่กันระหว่างหญิงชายหลากท่วงท่าพิสดารเท่าที่กันย์จะนึก ออกจากประสบการณ์ตรงและหนังโป๊ที่เคยผ่านตา
.


“พวก มึงดูซะ! นี่คือความสุขสุดยอด ควยกับหีต้องคู่กันเหมือนหยิงหยาง!! หีน่ะมีไว้เย็ด! ผู้หญิงในโลกก็มีให้พวกมึงจับเย็ดมากมาย จะเอาท่าไหนก็มาเลือกดูจากภาพกูได้!! เคี้ยก ฮ่า ๆ ๆ ” เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง บัดนี้ รปภ. ได้เข้ามาระงับเหตุแล้ว แต่กันย์ไหวตัวทันควัน เขาสวมเสื้อคลุมทับและวิ่งหนีออกทางประตูฉุกเฉิน
.
.
.
.
นักศึกษาหนุ่มคนเดิมกลับเข้ามาในงาน เสียงวิทยุสื่อสารเจ้าหน้าดังซ่าเป็นช่วง ๆ ไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขากำลังหารือกันถึงเรื่องกันย์


“ขอโทษนะครับพี่ เมื่อกี้ผมออกไปตาม รปภ. มา พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เขาถามพลอยซึ่งกำลังนั่งกองกับพื้นน้ำตาอาบแก้ม


“นึก แล้วว่าไอ้ขี้ยานี่ต้องก่อเรื่องเข้าซักวัน! งามหน้าไหมล่ะ งานล่มหมดเลย ได้ตามเช็ดตามล้างกันเป็นพรวนแน่!!” นักศึกษาสาวพิธีกรเดินแทรกเข้ากลางวงสนทนา มือไม้สาละวนจัดเสื้อผ้าที่หลุดหลุ่ยหลังโดดเวทีหนีกันย์ลงมากลิ้งกับพื้น สามตลบ


“พวกน้องรู้จักกันย์ด้วยเหรอ” พลอยปาดน้ำตา พยายามดึงอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ


นักศึกษาทั้งสองมองหน้ากันเหมือนปรึกษาผ่านความเงียบ ก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าตอบรับทั้งคู่

.
.
“เล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมว่าอยู่ที่นี่เขาเป็นยังไง” เธอฝืนอมยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายกล้าเล่าอย่างเปิดเผย

ณ ห้องวาดรูป “ลับเฉพาะ” แห่งหนึ่งในคณะศิลปกรรมศาสตร์ นักศึกษาชายหญิงปีสามกลุ่มเล็ก ๆ กำลังง่วนอยู่กับการสเก็ตช์ภาพนางแบบนู้ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกฝนของจิตรกร พวกเขาลงขันเงินคนละมือจ้างนางแบบจากคลับอาบอบนวดเป็นการพิเศษ หญิงสาววัยสามสิบผู้เป็นนางแบบนอนโพสท่าอย่างมืออาชีพ ไร้ความเคอะเขิน อาจเพราะเห็นว่าทำไปเพื่อการศึกษา ทุกคนในห้องอยู่ในอาการสำรวมเป็นการให้เกียรติกันและกัน


แต่แล้วบรรยากาศแห่งความเคร่งขรึมก็ถูกทำลายลง
.
.
.

ประตูพังลงด้วยแรงถีบเฉียบขาดเพียงครั้งเดียว! กันย์บุกเข้ามาชนิดไม่ให้ใครเตรียมตัวเตรียมใจ!


“วาดเหี้ยอะไรกันอยู่พวกไพร่!?” กันย์ตะโกนถาม


“เฮ้ย! ไอ้กันย์! ทำงี้ได้ไงวะ!” นักศึกษาชายรุ่นพี่ขว้างดินสอลงพื้นด้วยความโมโห เดินตรงเข้ามาเอาเรื่อง ขณะที่นางแบบตื่นตกใจ รีบโกยเสื้อผ้าขึ้นมาปกปิดร่างกาย


“หยุด! ห้ามถูกเนื้อต้องตัวเทพเจ้า!” กันย์ใช้มุขเดิมคือแหวกเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นพื้นที่ใต้ร่มผ้าอล่างฉ่าง และก็ได้ผลเช่นเคย ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ผู้มีพฤติกรรมสัปดนเช่นนี้


บัด นี้กันย์ได้เร่งเร้าพลังตัณหาจนถึงขีดสุด ลำควยของเขาโด่ผงาดชี้ฟ้าเป็นสัญญาณพร้อมออกศึก ยิ่งสร้างความสะอิดสะเอียนต่อประจักษ์พยานพบเห็น


“จ้าง กะหรี่มานอนแก้ผ้าแค่นี้ไม่ได้เรื่อง! โง่เง่า! ถ้าอยากวาดก็ต้องวาดตอนคนกำลังเย็ดกัน!!” กันย์กระโจนเข้าหานางแบบและกระชากผ้าที่เธอใช้ปกปิดออกทันที หญิงสาวร้องลั่นและผลักกันย์ออกไป เธอลนลานวิ่งพรวดออกจากห้องโดยลืมไปว่ากำลังเปลือยเปล่า


“อย่า หนี! อีกะหรี่! มาให้กูเย็ดก่อน!” เขาวิ่งตามนางแบบออกไปติด ๆ กัน บรรดานักศึกษาในห้องตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก กระนั้นเมื่อได้สติคืนมาก็มีผู้นำคนหนึ่งสั่งให้ทุกคนวิ่งตามออกไป

.
.
.
“ช่วย ด้วยค่ะ! คนบ้า!” นางแบบร่างเปลือยวิ่งหนีพลางร้องขอความช่วยเหลือ สองเต้ากระเพื่อมตามฝีเท้า ขณะที่กันย์วิ่งล่อนจ้อนควยแข็งตามหลังมาติด ๆ เธอวิ่งผ่านหน้าคณะตัดไปถึงโรงอาหาร เล่นเอาคนกำลังทานก๋วยเตี๋ยวถึงกับสำลักเส้นติดคอ ทุกคนได้แต่ลุกขึ้นดูเพราะตื่นตกใจจนไม่สามารถคิดได้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน ก่อน เสียงกรี๊ดกร๊าดดังเซ็งแซ่ทั่วโรงอาหารอย่างชุลมุน ดูเหมือนนางแบบเองก็ไม่ทันฉุกคิดว่าตัวเธอนั้นก็อยู่ในสภาพที่ไม่มีใครกล้า เข้าไปออกหน้ารับให้


“ช่วยด้วย!! กรี๊ดดดด!!” นางแบบสาววิ่งตรงไปหากลุ่มคนหวังหาที่พึ่ง แต่ผู้คนบริเวณกลับแตกฮือออกด้วยความตื่นกลัว ยกเว้นเพียงหนึ่งคน
.
.
.
พลอยนั่นเอง
.
.
.
“คนบ้าไล่ตามฉันมา! ช่วยที!” เธอหลบเกาะข้างหลังพลอยเสมือนเครื่องกำบัง


“หลีกไป!! นังผู้หญิง!!” กันย์คำรามคลั่ง


“ไอ้ขี้ยา. . . เลิกเห็นผู้หญิงเป็นของเล่นได้แล้ว” พลอยรำพึงแผ่วเบา สองมือกำหมัดแน่น


“บ่น เหี้ยอะไรของมึง! ถ้าไม่หลีก กูจะจับปี้ตรงนี้ทั้งคู่!” เขาสาวท่อนลำตนเองเป็นการข่มขวัญ ใบหน้าหื่นกามและคราบน้ำลายไหลเป็นทาง ทำเอาไทยมุงรอบข้างเกิดอาการคลื่นเหียน มีเพียงพลอยที่ยังยึดสติคงมั่น


“เคี้ยก ฮ่า ๆ ๆ ๆ!!” กันย์ดีดตัวเข้าหาหญิงทั้งสองราวกับสิงโตพุ่งตะครุบเหยื่อ
.
.
.
ชั่ววูบความรู้สึก กันย์ได้สัมผัสเปี่ยมเรี่ยวแรงเต็มฝ่ามือประทับเข้าที่แก้ม

.
.
.

เขาถูกตบเต็มฉาด


“นั่นส่วนของภูมิ!” พลอยพูด และไม่ทิ้งช่วงให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวติด เธอชักมือกลับตบหลังแหวนอีกเปรี้ยงจนกันย์ถึงกับประคองตัวไม่อยู่


“เมื่อกี้คือส่วนของเต๋อ!”
.
.
“และ นี่คือส่วนของฉันกับลูก!” เธอปิดฉากโดยเตะผ่ากล่องดวงใจเข้าเต็มรัก กันย์อ้าปากร้องลั่น สติรับรู้ฉีกกระชากราวกับถูกคมเคียวมัจจุราชบั่นหัว ใบหน้าขาวใสบัดนี้อมสีเขียวเหมือนคนใกล้ขาดใจตาย เขาล้มลงกุมเป้านอนดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ
.
.

พลอยถอดเสื้อนอกคลุมให้นางแบบที่กำลังร้องไห้อย่างผวา และขอตัวออกจากฝูงชนโดยไม่รับฟังคำถามหรือคำสรรเสริญใด ๆ ทั้งสิ้น
ก่อนจากไปเธอทิ้งคำพูดสุดท้ายฝากให้กันย์ซึ่งกำลังนอนหมดสภาพ
.
.
.
“ฉันเลวเพราะแกมาเกินพอแล้ว ลาก่อนไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
.
.
.
.
จบตอนที่ 9 ตาสว่าง

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 8 ปัญหาครอบครัว

"แนวสะกดจิตเรื่องใหม่:แค้นวิปริต จิตสั่งกาม"

โดย
โทรจิตคุง Palm-Plaza.com Forum

ตอนที่ 8 ปัญหาครอบครัว

“ทั้งหมดห้าร้อยสิบห้าบาทครับ”


พนักงาน คิดเงินยื่นถุงใส่หนังสือและชีทสรุปเรียนส่งให้ผม เพียงเห็นปริมาณก็น่าถอนหายใจ ผมอาจต้องใช้เวลากับมันพอสมควรถ้าต้องการรักษาเกรดเฉลี่ยไว้


วันนี้ ทั้งวันผมต้องแบ่งสมองจากเรื่องล่าเหยื่อเอามาใช้กับการเข้าฟังบรรยายวิชา สำคัญในช่วงปลายภาค แวะซื้อตำราสำคัญและชีทสรุปที่วางขายหน้ามหาวิทยาลัยบำรุงราษฎร์ มหาวิทยาลัยเปิดที่ไม่มีการบังคับให้นักศึกษาเข้าเรียนตามเวลา เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนที่เรียนและทำงานไปพร้อมกัน ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ นักศึกษามหาวิทยาลัยบำรุงราษฎร์มีจำนวนมหาศาลทั้งกลุ่มที่เข้าเรียนประจำและ ปรากฏตัวเฉพาะช่วงใกล้สอบ หากฝากชีวิตวัยนักศึกษาไว้กับสถาบันนี้ แฝงตัวปะปนไปกับฝูงชนมากหน้าหลายตาเดินเข้าออกวันละเป็นร้อยเป็นพันคน ย่อมปลอดภัยกว่าเลือกศึกษาในมหาวิทยาลัยระบบปิดที่มีวงสังคมแคบกว่า เพราะผมไม่ต้องการให้ใครทราบว่ามีตัวตนอยู่ในสถานที่อันสะดวกต่อการสืบค้น เพื่อให้เข้าถึงตัวได้


บริเวณ ป้ายรถเมล์คลาคล่ำด้วยผู้คนและนักศึกษาเหมือนเคย ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ทัศนนียภาพเบื้องไกลบิดเบี้ยวด้วยไอร้อนระเหยราวกับอยู่ในทะเลทราย แถมพ่วงด้วยมลพิษทางเสียง ทำให้ผมนึกอยากหายตัวหนีไปจากที่นี่ดื้อ ๆ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องกัดฟันทนแล้วรีบเดินทางกลับน่าจะดีกว่ามัวคิดเพ้อเจ้อ เพราะเกียจคร้าน ผมตั้งท่าจะข้ามถนนย้อนกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยเพื่อไปยังลานจอดรถ


ระหว่างกำลังจะก้าวขาข้ามถนน ผมก็ถูกขัดจังหวะด้วยฝ่ามือใครสักคนที่ตรงมาจับไหล่ไม่ให้ซุ่มเสียง


“เต๋อ!! เต๋อ!! มาทำอะไรแถวนี้” ชายคนหนึ่งทักขึ้น แต่พอผมหันกลับไปมองก็เหมือนว่าเขาจะลังเลไปทันที


“เอ่อ. . . ขอโทษครับ ทักคนผิดครับ นึกว่าเพื่อน แหะ ๆ” เขายิ้มแหยโค้งหัวประหลก ๆ อย่างกับว่าการทักผิดถือเป็นโทษมหันต์ ส่วนผมกำลังคิดต่อว่าจะเอายังไงกับหมอนี่ดี เขาทักไม่ผิดคนหรอก แต่ผมนี่สิจะอยากสานต่อหรือเปล่า


ชาย คนดังกล่าวโค้งแทนคำขอโทษอีกครั้งแล้วรีบหันกลับแทรกตัวไปในฝูงชนอย่างเขิน อาย เอายังไงดี บ้าชิบ ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะมาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้ จะเข้าไปแสดงตัวหรือปล่อยไปอย่างนี้ดี ผมต้องรีบตัดสินใจแม้จะมีเวลาไตร่ตรองน้อยก็ตาม
และแล้วในที่สุดก็ไม่ทราบว่าสิ่งใดดลใจให้ผมวิ่งเข้าไปคว้าแขนเขาไว้


“ภูมิ! ใช่นายจริง ๆ ด้วย!!” หวังว่าการที่ผมแสร้งทำหน้าดีใจสุดขีดนี้คงช่วยให้เขาหายจากความประหม่าที่คิดว่าตนหน้าแตก
.
.
.
.
หนุ่ม ตาตี่ ลักยิ้มหวาน ผิวขาวเหลือง ท่าทางหน้าเป็นตลอดเวลาคนนี้คือ ภูมิรักษ์ หรือ “ภูมิ” เพื่อนเก่าร่วมชั้นรุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่ง เขาค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น คือเป็นหนึ่งในสองเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่เข้าข่ายลูกหนี้แค้น หรือพูดอีกอย่างก็คือคนที่ไม่เคยมีปัญหากับผมนั่นเอง กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการเจอเขาเวลานี้ สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจแสดงตัวคงเป็นเพราะสิ่งที่อาจเรียกนับว่าเป็นบุญคุณ ซึ่งเขาเคยมอบให้ผมเมื่อวันวาน

.
.
.
ด้วย บุคลิกยิ้มง่ายและหน้าตาชวนโกรธไม่ลง ทำให้สมัยเรียนภูมิเป็นคนที่ไม่มีศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว หลายครั้งที่ผมถูกรุมกลั่นแกล้ง เขาจะออกตัวปกป้องผมในแบบฉบับเขาเอง คำพูด “อย่าทำเต๋อเลย อย่าทำเต๋อเลย” เป็นสไตล์การขอร้องแข็งทื่อที่เขายกมาใช้เป็นประจำเมื่อต้องช่วยผม บางครั้งถูกลูกหลงไปด้วยจนถึงกับหัวร้างข้างแตกก็มี แล้วพวกเพื่อน ๆ ก็จะกรูกันล้อมหน้าล้อมหลังพยาบาลพร้อมคว่ำบาตรคนที่ทำให้เขาเจ็บตัว ภูมิอาจเปรียบได้กับตุ๊กตาสัตว์มาสคอตของห้องสาม ใครจะมาทำให้เลือดตกยางออกไม่ได้ แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังเอ็นดู ราวกับทั่วกายลงสาริกาให้คุณด้านเมตตามหานิยม ช่างตรงกันข้ามกับผมอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้เขายังอุดหนุนรถเข็นขายเครื่องดื่มของแม่ผมเป็นประจำ ภูมิเป็นเพื่อนคนเดียวในห้องที่ไหว้แม่ผมแม้จะรู้ว่าเป็นแม่ค้าขายของหน้า โรงเรียน
.
.
.
มาถึงตรงนี้คุณอาจจะมองว่าเขาเป็นพวกเอ๋อเร๋อ แต่แท้จริงแล้วสติปัญญาจัดอยู่ในขั้นเฉียบคม เขาสนใจอ่านหนังสือทุกประเภท ยึดถือปรัชญาการเรียนรู้ตลอดชีวิต วิสัยทัศน์แซงหน้าครูฝ่ายวิชาการบางท่านเสียอีก ความจริงน่าจะได้อยู่ห้องหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนช่วงนั้นภูมิมัวแต่สนใจการค้นคว้าส่วนตัวนอกห้องเรียนจึงทำให้ เกรดตกลงมาอยู่ห้องสาม วีรกรรมครั้งแรกที่เขาแจ้งเกิดก็คือไปพูดท่าไหนไม่รู้ทำให้อาจารย์ทรงเดชที่ กำลังโกรธจัดเลิกล้มความคิดที่จะลงหวายเด็กทั้งห้องลงได้ราวปาฏิหารย์ ภูมิจึงเอาชนะใจพวกหัวโจกได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณสมบัติที่เป็นที่รักของทุกคนและหัวดีนี้เองทำให้ภูมิเคยได้รับการเสนอ ชื่อให้ดำรงตำแหน่ง “โพดำ” ของรุ่น ด้วยคะแนนสนับสนุนล้นหลาม แต่เขาปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าตนไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำ โดยเฉพาะจตุรเทพอีกสามคนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากผู้นำสูงสุดเป็นคนช่างประนี ประนอมและไม่สู้คน
.
.
.
“เกรงใจจังที่ให้ติดรถด้วย” เขายิ้มจนตาตี่ ลักยิ้มหวานชวนให้นึกถึงเด็กวัยใสไร้เดียงสาแม้จะอายุเจ้าตัวเริ่มขึ้นต้น เลขสองเท่าผมก็ตาม


“ไม่เป็นไรน่า เพื่อนกัน” ผมยิ้มให้ตามมารยาท


“เต๋อ ไปทำอะไรมา หล่อขึ้นเป็นกองเลย แล้วยังรถบีเอ็มอีก ได้มาไง” เขายิงคำถามรัว หันขวับซ้ายขวายังกับเด็กเล็กที่สนใจของรอบตัว หมอนี่จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ติดตรงท่าทางลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขนี่แหละที่ทำให้เสียบุคลิกเอามาก ๆ ใครไม่รู้จักจะพาลเข้าใจว่าสติไม่เต็มเต็ง


“เรื่องมันยาวน่ะ จะว่าไงดี...ผมมีรายได้จากธุรกิจขายตรงพอสมควรน่ะ ก็เลยใช้เพื่อตัวเองไปบ้าง”


“คาด เข็มขัดด้วยนะภูมิ ผมไม่อยากใช้พลัง...เอ่อ...มีปัญหากับตำรวจ” บ้าชะมัด เสียสมาธิจนเผลอพูดอะไรรั่ว ๆ ออกไปแล้ว นี่ผมตัดสินใจผิดหรือเปล่า ไม่น่าไปเอาเจ้านี่ติดรถมาด้วยเลย ในหัวผมมัวแต่กังวลว่าเขาจะเอาเรื่องที่ผมเรียนอยู่ ม.บำรุงราษฎร์ไปเล่าให้คนอื่นฟัง


“ไม่ คิดเลยว่าเราจะเรียนอยู่ที่เดียวกัน ภูมิเรียนเทคโนฯศึกษา แล้วเต๋อเรียนเอกอะไรเหรอ” โชคดีที่ภูมิไม่ติดใจที่ผมหลุดปากเมื่อครู่ เขาคาดเข็มขัดอย่างว่าง่าย


“จิตฯสังคม โทปรัชญา”


“โห . . .” เขาเบิกตาอ้าปากค้างอย่างกับทั่วโลกมีคนเลือกเรียนสองสาขานี้ไม่เกินสิบคน


“แปลกเรอะ”


“น่า สนใจมากเลย แบบนี้เต๋อก็เป็นพวกนีโอฟรอยด์เดียนใช่เปล่า? งั้นชอบใครเป็นพิเศษ คาร์ลจุง? อีริคสัน? เดี๋ยวนะ ๆ เมื่อกี้บอกว่าเรียนโทปรัชญานี่นา คิดว่าจะประยุกต์ใช้กับสาขาจิตวิทยาสังคมยังไง? ในแง่ญาณวิทยารึเปล่า? เมต้าฟิสิกส์ล่ะชอบไหม?” ภูมิจ้อขึ้นเรื่อย ๆ


ผมรู้ว่าหมอนี่ไม่ได้ถามเพื่อลองภูมิแต่เป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว จึงชวนเขาคุยพลางคิดไปด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อ จริงอยู่เจ้านี่เคยมีบุญคุณกับผมแต่มันเร็วเกินไปที่จะมานั่งคุยฝอยเจื้อย แจ้วขณะที่ชนักติดหลังอีกด้านของผมคือผู้สะกดจิตตามล้างแค้นเพื่อนร่วมรุ่น ไปทั่วอย่างนี้ มันกระอักกระอ่วนเหมือนผมฆ่าแมวไว้หลายสิบตัวแล้วจู่ ๆ ต้องมาร่วมโต๊ะอาหารกับประธานชมรมคนรักแมวอย่างไรอย่างนั้น ทำไงดี จับลบความทรงจำแล้วถีบลงจากรถตอนนี้เลยดีไหม


“น้าทิพย์เป็นยังไงบ้าง” คำถามนี้ทำให้ผมชะงักเรื่องลบความจำไว้ชั่วคราว ส่วนเรื่องถีบลงรถแค่คิดเล่น ๆ นะ


“เสียแล้ว แม่เป็นมะเร็ง” ผมตอบหน้าตาย มันผ่านไปนานพอที่จะทำใจเก็บซ่อนความอ่อนไหวไว้ได้เมื่อต้องตอบคำถามประเภทนี้


“ภูมิขอโทษนะ. . .” เขายิ้มแห้ง ๆ มือไม้งกเงิ่นเหมือนจะเข้ามาตบไหล่ปลอบแต่ก็ลังเลจนทำอะไรไม่ถูก


“ช่างเถอะ แล้วนายล่ะ ทำไมเรียนที่นี่ อย่างนายน่าจะสอบติดมหา’ลัยที่แข่งขันกันสูง ๆ นะ”


“เรื่อง มันยาวเหมือนกัน. . . แหะ ๆ ภูมิต้องเลี้ยงลูกน่ะ ถ้าเรียนเต็มเวลาก็จะไม่มีเวลาทำงานหาเงินให้ลูก” สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมเกือบเหยียบเบรค คนอย่างภูมินี่นะมีลูกแล้ว ถ้าบอกว่ามีลูกศิษย์ก็ว่าไปอย่าง


“ถึงท่ารถแล้ว ผมลงตรงนี้แหละ ขอบคุณนะที่มาส่ง” ภูมิจัดแจงสะพายเป้เตรียมเปิดประตูรถ


“เดี๋ยว ก่อน!” งี่เง่าที่สุด เจ้านี่กำลังจะไปอยู่แล้ว แถมยังซื่อบื้อ เบอร์โทรอีเมล์ก็ลืมขอไว้ทุกอย่างซึ่งมันก็ดีกับผมแล้วนี่ จะรั้งตัวไว้ทำไมกัน สงสัยต่อมสอดรู้ของผมเริ่มทำงานได้ที่


“ผมจะไปส่งนายถึงบ้าน อยากคุยต่อน่ะ ติดลมซะแล้ว”


“ไม่ต้องหรอก ภูมิอยู่ไกลนะ นิคมอุตสาหกรรมต่างจังหวัดนู่นแน่ะ ลำบากเต๋อเปล่า ๆ”


“เอาน่า อย่าเกรงใจเลย” ผมคะยั้นคะยออยู่ไม่นาน ภูมิก็ใจอ่อนยอมเดินทางไปด้วยกัน


จากการสนทนาระหว่าง ทางบวกกับการวิเคราะห์เพิ่มด้วยตัวผมเองทำให้ทราบว่า ชีวิตของภูมิหลังจบมัธยมต้นก็ไม่ต่างจากบทละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งดี ๆ นี่เอง ละครเรื่องนี้มีมูลเหตุจากคนสามคนคือ ภูมิ กันย์ และ พลอย


ภูมิ เด็กกำพร้าที่หญิงชราผู้หนึ่งรับอุปการะเป็นลูกบุญธรรมจากสถานสงเคราะห์ เนื่องจากลูกหลานแท้ ๆ ของเธอทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว เนื่องจากหญิงชรามีฐานะมั่นคง ภูมิจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีตามพัฒนาการช่วงวัย


กันย์ ทายาทผู้ดีเก่าสกุลโบราณ คือหนึ่งในลูกหนี้ที่ผมยังไม่ได้ชำระความ ซึ่งจะกล่าวเพิ่มเติมต่อไป


และ พลอย ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจนำเข้าสินค้าต่างประเทศรายใหญ่ เป็นอีกคนหนึ่งนอกจากภูมิที่ไม่เข้าข่ายลูกหนี้ ซึ่งทั้งห้องมีเพียงสองคนนี้เท่านั้น


เหตุ ที่พลอยไม่เคยรังแกผม ไม่ใช่มาจากใจจริงเสียทีเดียว แต่เพราะเธอเข้าใจดีว่าภูมิเป็นคนไม่ชอบความรุนแรง จึงอ่อนโยนต่อผมเพื่อเอาใจภูมิ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อว่าภูมิจะได้ช่วยเธอทำการบ้านและรายงานไง ด้วยเหตุนี้ภูมิจึงเข้าใจว่าพลอยคือแม่พระท่ามกลางหมู่มาร เขาหลงรักพลอยโดยบริสุทธิ์ใจ ขณะที่เบื้องหลังแล้วพลอยแอบคบหากับกันย์ ทุกคนมองออกว่าภูมิถูกหลอกใช้ บางครั้งพลอยยังถือดีเอางานส่วนของกันย์มาให้ภูมิทำด้วยซ้ำไป แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าเตือนเพราะมันเป็นเรื่องพูดลำบาก เธอบอกให้ภูมิเลิกยุ่งกับเธอช่วงใกล้จบการศึกษาเพราะภูมิใกล้หมดประโยชน์ เข้าทุกที


ต่อ มาพลอยท้องกับกันย์หลังจบการศึกษาไม่นาน กันย์บังคับให้พลอยทำแท้งแต่เธอปฏิเสธเพราะเธอรักกันย์สุดหัวใจและมองว่า เด็กในท้องสมควรได้เกิดมาเป็นพยานรัก เธอวาดหวังว่าจะได้แต่งงานกัน


ทว่า โชคไม่ดีที่เธอคิดไปเองฝ่ายเดียว กันย์ปฏิเสธทุกอย่างและหนีหายออกจากชีวิตเธอไป แต่ถึงอย่างนั้นพลอยก็ยังเลือกที่จะเก็บเด็กเอาไว้ ด้วยหวังว่าหากเด็กเติบโตสักหน่อยแล้วพาไปพบกันย์อาจทำให้ใจอ่อนลง แต่ไม่ทันถึงเวลานั้น พ่อและแม่พลอยก็รับไม่ได้ พลอยถูกพ่อตบตีโทษฐานทำให้เสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูล พลอยซึ่งอยู่ในภาวะถูกกดดันจากรอบข้างรู้สึกไม่เหลือใคร จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านบากหน้าไปหาภูมิ ซึ่งขณะนั้นภูมิเองก็กำลังลำบาก หลังหญิงชราล้มป่วยและเสียชีวิตลง เหล่าลูกหลานแท้ ๆ ก็ต่างกลับมาแย่งชิงสมบัติและยึดบ้านที่ภูมิอาศัย ทั้งภูมิและพลอยจึงกลายเป็นเทวดาตกสวรรค์ในเวลาไล่เลี่ยกัน


แต่ ภูมิก็พิสูจน์รักแท้ด้วยการยอมเป็นที่พึ่งทางกายและทางใจให้พลอย เขานำเงินก้อนสุดท้ายที่ติดตัวให้พลอยเป็นค่าทำคลอด ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ทั้งเป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานร้านสะดวกซื้อเพื่อหาเลี้ยงพลอยและเต็มใจเลี้ยงลูกที่เกิดจากกันย์โดย ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ภูมิเรียน กศน. จนจบและเข้าศึกษาต่อที่ม.บำรุงราษฎร์ เพื่อเรียนและทำงานพร้อมกันเช่นเดียวกับผม ปัจจุบันเขาเป็นหนุ่มโรงงานย่านนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก วันนี้เขาลางานมาเพื่อทำธุระทะเบียนนักศึกษา เราจึงบังเอิญได้พบกันนั่นเอง
.
.
.
ใน ที่สุดผมก็เดินทางมาถึงที่พักของภูมิ ซึ่งเป็นห้องเช่าตึกแถวสามชั้นโทรม ๆ ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัย สะท้อนถึงรายได้โดยประมาณและความเป็นอยู่ของเขา ดูเหมือนการที่ผมเอารถยนต์ราคาแพงมาจอดแถวนี้จะทำให้กลายเป็นจุดรวมสายตาของ ผู้พบเห็นจนผมรู้สึกประดักประเดิด


ระหว่างขึ้นตึกมีสาวโรงงานวัยราวยี่สิบปลาย ๆ คนหนึ่งเดินสวนกับเรา ผมได้ยินคำพูดในหัวเธอที่แสดงถึงความร่านเงียบ เธอจ้องจะหาโอกาสงาบภูมิอยู่เหมือนกัน ติดแต่ตรงที่มีเมียมีลูกแล้ว แม้ภูมิจะดูไม่เต็มบาทอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วรูปร่างหน้าตาและความหนุ่มก็ถือว่าทำให้เป็นขวัญใจสาวโรงงาน ย่านนี้ได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตามเป้าหมายของเธอคงเป็นได้เพียงฝันกลางวันเพราะภูมิไม่ใช่คนเจ้า ชู้


“พลอย เปิดประตูหน่อย” ภูมิเคาะประตู


ผม ได้ยินเสียงลูกบิดหมุนดังแกร๊ก เป็นการสื่อว่าจัดการให้เรียบร้อยแล้วแต่ต้องเปิดเข้ามาเอง ภูมิถอดรองเท้าและผลักประตูเข้าไปเบา ๆ ส่วนผมยืนรอเชิงด้านนอก ยังไม่กล้าเข้าไปจนกว่าเจ้าของห้องจะเอ่ยปากเชิญ


“มี เพื่อนมาเยี่ยมแน่ะ จำได้ไหมว่าใคร” ภูมิยิ้ม ขณะที่พลอยกำลังนั่งสอนให้ลูกน้อยวาดรูปด้วยสีเทียนอยู่เพลิน ๆ เธอหันมาทางผมด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ เพราะผมเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว


“เต๋อรึเปล่าน่ะ” เธอเผยอปากด้วยความแปลกใจเล็กน้อย


“ถูก ต้องแล้ว คุณวิหค อรุณทอแสง หล่อจนจำแทบไม่ได้ใช่ป่ะล่ะ” ภูมิพูดเฉลยยังไม่ทันจบประโยคดี พลอยก็ลุกพรวดวิ่งกรี๊ดกร๊าดเข้ามาจับมือผมด้วยความดีใจออกนอกหน้า


“ไป ไงมาไงเนี่ย! เจอกันที่ไหน!” พลอยจูงมือให้ผมเข้ามาในห้อง เธอถามถึงที่มาอย่างสนอกสนใจ ขณะที่ผมให้ความสนใจกับตัวเธอและข้าวของภายในห้องมากกว่า พลอยแต่งตัวสวยเกินความจำเป็นในย่านที่พักแถบนี้ และถึงแม้สภาพห้องเช่าจะคับแคบ เครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีเพียงโทรทัศน์เครื่องเล็กกับพัดลมเก่า ๆ แต่เครื่องสำอางบนโต๊ะเครื่องแป้งกลับตรงกันข้ามกับภาพรวมของห้อง มันล้วนแต่เป็นสินค้าราคาแพงเกินไปสำหรับหนุ่มสาวโรงงาน


“นี่น้องเก่ง ไหว้คุณอาสองคนรึยัง คุณอาอีกคนชื่ออาเต๋อนะ” พลอยหันไปหาลูกชาย


“สะ หวัดดีคับ อาภูมิ อาเต๋อ” เด็กชายวัยห้าขวบก้มหัวไหว้อย่างอ่อนน้อม แสดงว่าผู้ปกครองปลูกฝังมารยาทและอบรมบ่มนิสัยมาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม มันน่าแปลกตรงคำว่า “อาภูมิ” ผมหันไปสบตากับภูมิ แต่ดูเหมือนเขาจะเซ่อจนตีความไม่ออกว่าผมต้องการสื่ออะไร น้องเก่งเอารูปวาดสีเทียนโชว์ให้ภูมิดูตามประสาเด็ก


“วาดเก่งนะ” ผมชมเพื่อเสริมบรรยากาศอันดี แต่ดูเหมือนจะคิดผิด


“เหมือนพ่อเขาแหละ” คำตอบจากพลอยทำให้ภูมิเงียบไปชั่วขณะ ผมสังเกตได้ว่าภูมิกำลังปิดซ่อนอารมณ์บางอย่าง


ชักได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก บางทีอาจมีเรื่องทำให้ผมต้องเข้าไปก้าวก่ายเข้าจนได้
.
.
.
พลอย อาจไม่ใช่คนที่จริงใจกับใครเต็มร้อยตั้งแต่ไหนแต่ไรทั้งกับผมและภูมิ แต่อย่างน้อยความจริงใจก็น่าจะเกินร้อยละเจ็ดสิบ เห็นได้จากที่เธอสั่งอาหารอีสานชุดใหญ่มาเลี้ยงและต้อนรับขับสู้ผมเป็นอย่าง ดี ซึ่งเป็นการให้เกียรติแฟนทางอ้อม นับว่าน่ายกย่องทีเดียว เราสามคนต่างพูดคุยถึงวันวานอันหวานชื่นสมัยเป็นนักเรียนนุ่งขาสั้นอย่างออก รสชาติ ภูมิเป็นคนฉลาดที่เลือกยกแต่หัวข้อที่พอจะคุยกันได้เพราะเข้าใจว่าผมมี ประสบการณ์ในรั้วโรงเรียนที่น่าจดจำน้อยกว่าใครเพื่อน ส่วนพลอยพอติดลมบนก็ขุดขึ้นมาเล่าได้ร้อยแปด ตั้งแต่นินทาครูบาอาจารย์ยันถึงเรื่องตำนานผีสางภายในโรงเรียน ประเด็นสนทนาลุกลามไปเรื่อยและไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดลงง่าย ๆ เรียกได้ว่าเพลินจนลืมเวลา


“สามทุ่มแล้วนะ น้องเก่งต้องนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน” พลอยหันไปมองนาฬิกา


“ผมควรจะกลับแล้วละ ขอโทษนะที่รบกวนนานไปหน่อย” ผมชิงพูดขึ้นมาเองเป็นการแสดงถึงความรู้จักกาลเทศะ


“ไม่เห็นเป็นไรเลย ค้างที่นี่สักคืนก็ได้” พลอยพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี อาจเป็นเพราะรสเสวนาที่ผ่านมาทำให้หัวใจอิ่มเอม


“แต่. . .” แน่ละ ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ


“นั่ง ดื่มกับภูมิสักหน่อยสิ แหม. . . นาน ๆ ทีเพื่อนผู้ชายคุยกัน เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเรากับน้องเก่งจะไปขอนอนห้องเพื่อนข้าง ๆ สักคืน จะได้คุยกันตามประสาผู้ชาย”


“ไม่ดีกว่า แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว” ผมแบ่งรับแบ่งสู้


“ค้าง ที่นี่เถอะเต๋อ นานทีปีหนนะ พรุ่งนี้ภูมิเข้าสายได้ ถ้าพลาดก็ไม่รู้จะได้เจอกันอย่างนี้อีกเมื่อไหร่” ภูมิตอกย้ำอีกเสียงหวังให้ผมสบายใจยิ่งขึ้น


ใน ที่สุดผมก็ตอบรับด้วยความเกรงใจ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากหาโอกาสอยู่กับภูมิตามลำพัง เผื่อจะได้ความคืบหน้าเกี่ยวกับพวกจตุรเทพ รวมถึงมีเรื่องที่ผมอยากถามภูมิ ซึ่งคงไม่สะดวกใจหากพลอยยังอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าพลอยจะเป็นฝ่ายเชื้อเชิญผมเอง ใจกว้างกับแฟนเพื่อนอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งนับว่าหาได้ยากในผู้หญิงทั่วไป นิสัยนี้เป็นข้อดีที่ชูจุดขายของพลอยได้อย่างโดดเด่นกว่าใคร


“เดี๋ยวเราลงไปซื้อเบียร์ให้นะ” พลอยตั้งท่าหยิบกระเป๋าเงิน


“ไม่ต้องหรอก พลอยเลี้ยงผมตั้งเยอะ เดี๋ยวผมลงไปซื้อเอง จะได้ซื้อโฟมล้างหน้ากับครีมอาบน้ำด้วย ไม่ได้เตรียมมาเลย”


“งั้นก็แล้วแต่เต๋อแล้วกัน. . .ตามสบายนะสองคน น้องเก่งคะไปนอนกันดีกว่าค่ะ” เธออุ้มลูกออกจากห้องไปพร้อมส่งยิ้มให้ผมกับภูมิ
.
.
.
.
.
ขณะ ผมกำลังหยิบเบียร์และเลือกอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำในร้านของชำหน้าห้องเช่า ก็ต้องสะดุดหูเมื่อได้ยินเสียงคุยกระซิบกระซาบตรงโต๊ะม้าหินหน้าร้าน คลับคล้ายคลับคลาว่ามีชื่อภูมิอยู่ในประโยค ผมจึงใช้โทรจิตขยายกำลังเสียงให้รับรู้ได้สะดวกขึ้น


“เนี่ย วัน ๆ เมียก็ไม่ทำอะไร เกาะผัวแดก” ป้าเพิ้งวัยราวหกสิบนุ่งผ้าถุงท่าทางเป็นเจ้าของร้านพูดพลางหยิบถั่วลิสงทอด เคี้ยวอย่างเพลินปาก


“อี ตาภูมิอะไรเนี่ยก็โง๊โง่เนอะป้า เอาลูกเขามาเลี้ยง เมี่ยงเขามาอมแท้ ๆ อายุยังน้อยหน้าตาก็ดี ทำไมมาเอาแม่ม่ายเด็กใจแตกลูกติด” คู่สนทนาสาวโรงงานวัยกลางคนเสริม ช่างเข้ากับกับขาเม้าธ์ผู้พี่ได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย


“แหมเอ็ง ผู้ชายโง่จะเพราะอะไรซะอีกละ ถ้าไม่ใช่ติดหอย” ป้าเพิ้งสรุป ทั้งสองหัวเราะคิกคัก ๆ


“โอย เม้าธ์มากคอแห้ง หาอะไรเย็น ๆ ดื่มกันหน่อย โค้กสักขวดไหม ป้าเลี้ยงเอง” เธอลุกขึ้นเดินไปยังตู้แช่เครื่องดื่ม


“ป้าคะ ตักบาตรอย่าถามพระสิ เร็ว ๆ นะป้าเดี๋ยวหนูลืม กำลังมันส์” สาวโรงงานสนองอย่างไม่เกรงใจ


“เอ้านี่ คนละขวด” ป้าเพิ้งวางขวดเครื่องดื่มสองขวดลงบนโต๊ะ


“เดี๋ยวสิป้า ป้าเอาน้ำส้มสายชูมาทำไม”


“. . .ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะเอ็ง” ป้าเพิ้งงงกับตัวเองแต่มือก็เปิดขวดไปแล้ว


“แล้ว ทำไมหนูต้องหยิบขึ้นมาด้วย อะไรกันเนี่ย!!” ทั้งสาวโรงงานและป้าเพิ้งซดน้ำส้มสายชูไปครึ่งขวดก็เกิดอาการสำลัก แสบคอจนทนไม่ไหว จากนั้นก็อาเจียนพุ่งพรวดออกมาใส่หน้ากันและกัน
.
.

“หวังว่าได้กลั้วคอแล้วลมปากคงจะสะอาดขึ้นนะครับ” ผมวางเงินค่าของทิ้งไว้แล้วเดินออกจากร้าน

ผมกลับเข้ามาในห้อง อีกครั้ง จัดการอาบน้ำเรียกความสดชื่นสบายตัวกลับคืนมา ภูมิเปิดโทรทัศน์ให้ผมดูฆ่าเวลาขณะให้รอเขาอาบน้ำต่อ แต่ผมไม่อยากดูรายการช่วงดึกเท่าไหร่ สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคืออนุสรณ์รุ่นฝุ่นจับที่วางไว้ชั้นล่างสุดของชั้น วางของ ผมหยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่นและพลิกไปยังหน้าของม.3/3 รุ่น 40 ตั้งใจจะเปิดผ่านลวก ๆ เพราะคิดว่าก็คงไม่ต่างกับเล่มที่ได้มาด้วยการสะกดจิตนายทะเบียนและเล่มของ คนอื่น ๆ แต่เล่มที่ภูมิมีอยู่นั้นผมเชื่อว่าไม่เหมือนของเพื่อนคนอื่นแน่นอน
.
.
.
ภูมิแปะรูปผมเพิ่มเข้าไป เขาเขียนข้อความเพิ่มไว้ว่า
“รุ่น 40 มี 36 คน นับเต๋อ วิหค อรุณทอแสง เข้าไปด้วย”
.
.
.
ผม ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมานานจนจำไม่ได้แล้ว ละอายใจที่บ่ายนี้มัวแต่คิดถึงตัวเองจนเกือบละเลยเจตนาดีของภูมิ
.
.
.
“หนาว จังเต๋อ” ภูมิออกมาจากห้องน้ำ ผมรีบปิดหนังสือรุ่นเก็บเพราะเพิ่งรู้สึกได้ว่าไม่เป็นการสมควรถือวิสาสะแม้ มันจะไม่ใช่ไดอารี่ก็ตาม


“อยากดูก็ดูไปสิ ฮะ ๆ รอภูมิใส่เสื้อก่อนนะ เดี๋ยวนั่งดื่มกัน”


ภูมิ นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ทำให้ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาเป็นคนซ่อนรูป หุ่นเรียบแบนแต่กล้ามเนื้อแข็งแรงต่างจากสมัยเรียนด้วยกัน นั่นคงสะท้อนให้เห็นว่าห้าปีที่ไม่เจอกันเขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานหนัก แค่ไหน เขายอมทิ้งอนาคตที่จะเอาดีสายวิชาการซึ่งพรั่งพร้อมด้วยเกียรติยศทางสังคม ทรัพย์สินที่ผมบันดาลขึ้นได้ด้วยอาศัยพลังพิเศษไม่สามารถเทียบได้กับความ อุตสาหะเสียสละอันเปี่ยมล้นที่ภูมิมอบให้สองแม่ลูก เราคงมีอะไรต้องคุยกันเยอะทีเดียว
.
.
.
“ดูน้ำหวานสิ เปลี่ยนชื่อเป็นไอช่าแล้ว สวยเช้งเลยเต๋อว่าไหม” ภูมิพูดชวนให้ผมมองไปยังรายการโทรทัศน์ที่ไอช่าเป็นพิธีกร


“อ๊ะ. . . ขอโทษนะเต๋อ ภูมิลืมนึกไป เปลี่ยนช่อง ๆ” ดูเหมือนเขาจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแม่โพแดงจอมแสบนี้ผูกพันกับผมด้านติดลบ แต่ผมไม่ติดใจอะไร


“ช่างเถอะภูมิ ว่าแต่นายจำกลอนจตุรเทพได้ไหม”


“คุ้น ๆ อยู่นะ แต่นึกไม่ออกอ่ะ” เขาเกาศีรษะ


“โพ ดำฤทธิ์ร้อนแรง...ต่อซิ” ผมขึ้นต้นให้ พลางขอชนแก้วเพื่อเร่งเร้าให้เขาคิดว่าเรื่องที่พูดคุยต่อไปนี้เป็นเพียง เรื่องสนุก ๆ ปิดบังวัตถุประสงค์ที่ซ่อนไว้


“อีกโพแดงแฝงคมหนาม...ท่อนนี้ของน้ำหวานใช่ไหม!” เขายิ้มร่าเหมือนได้เล่นเกมปัญญานิ่ม


“ข้าวหลามตัดสัตว์สงคราม ดอกจิกนามมารคราบคน” เราต่อกลอนพร้อมกันจนจบและระเบิดหัวเราะออกมา


“ไม่ น่าเชื่อเลยเนอะว่าตอนนั้นเราจะทำเท่กันไร้สาระแต่เป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้” ผมสรุปเกมอารัมภบทสั้น ๆ ก่อนเข้าสู่ประเด็นคำถามที่แท้จริง


“ว่าแต่. . .นายพอจะรู้ไหมว่าจตุรเทพของเราทำอะไรกันอยู่ นอกจากไอช่า”


“ไม่รู้หรอกนะ เต๋ออยากเจอพวกเขาเหรอ” ภูมิถาม


“ก็ทำขายตรงนี่ เลยอยากตามหาเพื่อนเก่า ๆ เผื่อใครรวยจะได้ให้ช่วยซื้อของเพิ่มยอดขายซะหน่อย”


“และ ตอนนี้ทุกคนน่าจะเรียนมหา’ลัยกันแล้ว แต่ผมลองเสิร์ชตามอินเตอร์เน็ตแล้ว ไม่พบข้อมูลของพวกผู้ชายในมหา’ลัยไหนเลย” ผมนำร่องให้อีกนิด อยากฟังความเห็นจากผู้รอบรู้อย่างภูมิ


“ภูมิว่าเต๋อคิดอย่างนั้นมันแคบไปนะ” เขาทำหน้าจริงจัง


“การ ศึกษามันมีตั้งหลายแบบ จบม.ปลาย ก็ต่อปวส.สายอาชีพเป็นอนุปริญญาได้ หรือไม่ก็อาจเรียนในระดับวิทยาลัยเน้นหนักวิชาชีพ เรียนแผนพิเศษอะไรทำนองนี้ มันมีตั้งหลายแบบนะ”


“แต่ ก็อย่าลืมว่า สุดท้ายแล้วเขาอาจจะไม่ได้สังกัดสถาบันใดเลยก็ได้ บางคนอาจเลือกเส้นทางชีวิตฝ่ากระแสหลักที่ทุกคนต้องทำตาม” เขาสรุปทิ้งท้าย


ช่าง สมกับเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ทางการศึกษากว้างไกลจริง ๆ จริงสินะ ผมอยู่ในกรอบคำว่ามหาวิทยาลัยมากเกินไปจนลืมนึกถึงตรงนี้ การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภูมิช่วยลับคมความคิดผมให้เฉียบขึ้น มากทีเดียว อย่างไรก็ตามนาทีทองย่อมมีจำกัด เพราะผมเพิ่งรู้วันนี้ว่าภูมิเป็นค่อนข้างคออ่อนกว่าที่คิด พอเมามากเข้า คำพูดกับความคิดเริ่มไม่ปะติดปะต่อกัน เข้าเริ่มวิพากษ์จุดอ่อนของระบบการศึกษาไทย โยงไปถึงระดับนานาชาติ แถมยังลากเข้าหัวข้ออภิปรัชญาและความจริงแท้ของจักรวาลได้เป็นต่อยหอย ขั้นสุดท้ายเขาพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษล้วน พฤติกรรมดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าผมควรจะเก็บขวดที่เหลือและหยุดการดื่มเพียง เท่านี้ก่อนที่เขาอาจจะคิดสมการล้างโลกขึ้นมา
.
.
.

ผม จัดการพาเขาไปอาเจียนลงคอห่านเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น เห็นผลทันตาเพราะเมื่อถึงเตียงเขาก็กลับมาสื่อสารด้วยภาษาไทยได้เสียที ปัญหาของผมกระจ่างไปแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาไขปัญหาของเจ้าตัว


ท่ามกลางความมืดมิดหลังจากปิดไฟ ผมตัดสินใจเปิดประเด็นคำถามแรกขึ้นมา


“ภูมิ ถามอะไรหน่อยสิ”


“. . . . . . . .” ภูมิไม่ตอบสนอง ไม่ใช่เพราะหลับแต่น่าจะเพราะฤทธิ์น้ำเมาทำให้เลอะเลือนมากกว่า


“ตอนนี้พลอยทำงานอะไรเหรอ”


“. . . . . . . . . . .”


“นายเลี้ยงพลอยกับเก่งด้วยตัวคนเดียวใช่รึเปล่า”


“. . . . . . .พลอย เขาต้องเลี้ยงลูก ไม่งั้นใครจะเลี้ยง” ภูมิตอบด้วยเสียงแผ่วเบา


“ถ้างั้น เครื่องสำอางแพง ๆ นั่นหมายความว่ายังไง” ผมถามต่อ


“. . . .ผู้หญิง. . .ก็รักสวยรักงาม. . . .เรื่องธรรมชาติ”


“เฮ้ย! ตอบให้สมเหตุสมผลเหมือนตอนถามเรื่องจตุรเทพสิ! นายกำลังหลงทางหรือเปล่า” ผมลุกขึ้นมาครึ่งตัวและเขย่าตัวภูมิเพื่อให้รู้สึกว่านี่เป็นคำถามที่ไม่ ต้องการคำตอบขอไปที


“. . . .หลงทาง. . . ยังไง”


“เหมือน สมัยเรียนไง พลอยใช้นายเป็นเครื่องมือ อย่าหลอกตัวเองอีกเลยภูมิ นายเอาตัวเองมาผูกพันกับผู้หญิงคนนี้นานเกินไปจนอนาคตมืดมัวแล้วรู้ไหม ทำไมคนอย่างนายต้องมาเป็นหนุ่มโรงงานในวัยเรียนอย่างนี้ด้วย ใช้ศักยภาพตัวเองให้คุ้มค่ากับที่มีอยู่หน่อยสิ”


“เต๋อ...อย่าพูดแบบนี้ ภูมิไม่ชอบ” ภูมิตอบเชื่องช้าแต่น้ำเสียงหนักแน่นขึ้น


“งั้นขอถามอีกอย่างเดียว”


“. . . . . . . . . . . . . .” ภูมิเงียบเหมือนกับตั้งใจรอฟัง
.
.
.


“ทำไมพลอยให้น้องเก่งเรียกนายว่าอาภูมิ ทั้งที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด”
.
.
.


ดูเหมือนคำถามนี้จะจี้ใจดำเขาจนได้ ในที่สุดภูมิก็ลุกขึ้นจากที่นอนเล่าให้ผมฟังหมดเปลือก


พลอย ยังลืมกันย์ไม่ได้ ยังเฝ้ารอวันที่จะได้พบกับกันย์อย่างสมศักดิ์ศรี ถึงได้ซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอางแต่งตัวสวย ๆ หลอกตัวเองหลายปีว่ายังคงมีความหวัง ขณะเดียวกันก็ทำใจไม่ได้ที่เคยอยู่ในครอบครัวเศรษฐีกินดีอยู่ดี แต่ต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้ อายที่จะต้องประกอบอาชีพชนชั้นแรงงานทุกชนิด เธอจึงอ้างว่าไม่อยากทำงานเพราะต้องการดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่คบกันมาเกือบห้าปี ภูมิไม่เคยมีอะไรกับพลอยแม้แต่ครั้งเดียว ในสายตาพลอยนั้น ภูมิคงเป็นได้แค่เพียงหลักตั้งมั่นชั่วคราว หากวันใดโอกาสเป็นใจ เธอคงพร้อมตีจากภูมิได้ทุกเมื่อเพื่อไปอยู่กับกันย์ ซึ่งเธอคิดว่าคู่ควรกับคำว่าพ่อมากกว่าภูมิ เธอจึงสอนให้ลูกเรียกว่า “อาภูมิ” นั่นเอง


“ตอบให้หมดแล้วนะ คราวนี้. . .ภูมิจะถามเต๋อบ้าง” ภูมิมองหน้าผมด้วยสติเลอะเลือน


“ได้สิ ว่ามา” ผมผายมือเชิญให้พูดออกมา


“ทุกวันนี้ภูมิยังดีไม่พอใช่ไหม”


“นายต้องถามพลอย ไม่ใช่ผม”


คำ ตอบของผมคงแทงลึกตัดขั้วหัวใจเจ้าตัว ภูมิระเบิดน้ำตาออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ แย่จริง ผมที่เป็นฝ่ายมีสติมากกว่าไม่น่าจะใช้คำพูดแบบนี้กับคนเมาเลย รู้ ๆ อยู่ว่ามันเป็นสภาพต่างจากตอนมีสติ


ไม่ รู้จะปลอบใจภูมิอย่างไรนอกจากสวมกอดโดยปราศจากคำพูด ผมอยากให้เขาร้องไห้สุดพลัง ปลดปล่อยความเครียดพรั่งพรูออกมาให้หมด หลังจากต้องสวมบทบาทพ่อพระยิ้มสู้ทุกปัญหาผิดมนุษย์มนาเป็นเวลานาน
.
.
.
ผมปล่อยตัวอยู่อย่างนั้นสักพัก ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
.
.
.
ผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
.
.
.
.
ภูมิจูบผม!
.
.
.
.
“เฮ้ย! ทำอะไร!” ผมดิ้นขัดขืน แต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลย ภูมิจับผมกดคร่อมกับที่นอนและยังคงไม่ยอมปล่อยริมปากที่ประกบแน่นด้วยกัน แรงจากคนที่ทำงานหนักอย่างเขาเยอะกว่าผมจนยากเกินรับมือไหว


ระดับ แอลกอฮอล์ในเลือดข้างในตัวผมทำให้การโอนถ่ายจิตเข้ายึดครองสติไม่ใช่เรื่อง ง่ายในเวลานี้ ก็ใครจะไปรู้ว่าต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ผมจึงดื่มเข้าไปซะเยอะ
“ตั้งสติหน่อยภูมิ!” ปากที่ประคบกันอยู่ทำให้ผมส่งเสียงได้แค่อู้อี้ ๆ ขณะที่ภูมิยังไม่ลดละ พยายามสอดลิ้นเข้ามาให้ได้ ผมรวบรวมพลังสุดลมหายใจ ผลักหน้าเขาออกไปเพื่อให้ปากผมสามารถเปล่งเสียงได้
.
.
.
“ภูมิ! นายทำกับผมไม่ต่างจากคนอื่นเลยนะ!!”
.
.
.
ภูมิชะงักลงเมื่อได้ยิน ปล่อยตัวผมให้คลายจากการกดรัด
.
.
เขาเอ่ยคำว่า “ขอโทษ” เบา ๆ และล้มตัวลงนอน
.
.
.
คืนนั้นเรานอนหันหลังให้กัน เป็นความรู้สึกที่อึดอัดทรมานจนอยากให้มันผ่านไปโดยไว
.
.
.
.
ผมคงต้องรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อภูมิ อยากให้เขาหลุดพ้นจากวงจรอันแสนกล้ำกลืนฝืนทนที่เป็นอยู่นี้

รุ่งเช้า ผมตื่นก่อนภูมิและตัดสินใจออกเดินทาง โดยทิ้งโน้ตบอกเขาไว้ว่าจะกลับมาอีกครั้งตอนเย็น ผมลัดคิวล้างแค้นโดยหมายหัวกันย์ขึ้นก่อนรายอื่นเพื่อจัดการปัญหาระหว่างสาม คนนี้ให้เสร็จสิ้น ข้อมูลที่ได้จากเฟสบุ๊คของวีช่วยให้ผมรู้ว่าตอนนี้มันเรียนที่ไหนอยู่คณะ อะไร ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงผมก็ถึงที่หมาย
.
.
.
“พี่กันย์ อยู่นี่ครับ” เด็กที่ถูกผมสะกดจิตให้พามาถึงตัวกันย์เปิดประตูให้และโค้งขอตัวลา ที่นี่คือห้องวาดรูปห้องหนึ่งในคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่เต็มไปด้วยฉากขึงผ้าใบ กระป๋องสี และรูปปั้นประติมากรรมเรียงรายทั่วห้อง กลิ่นสีและสารเคมีฉุนเตะจมูก
.
.
.
“ใครเข้ามาน่ะ ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว” กันย์หันหลังพูด เรียวนิ้วจับพู่กันบรรเลงลายเส้นพริ้วไหวไปมาบนผืนผ้าใบอย่างไม่ยี่หระ


“ผมมาเยี่ยมนายน่ะกันย์ ได้ข่าวว่าฝีมือวาดรูปแนวแอบสแทรคโดดเด่นจนคว้ารางวัลระดับประเทศเลยนี่”


“นาย เป็นใคร” กันย์หันมาทางผม เขาเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว ทว่าไฝใต้ตาก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ โครงหน้าหวานละมุนคล้ายผู้หญิง โครงร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเกลี้ยงเกลาตามแบบฉบับผู้ดีมีสกุลรุ่นชาติ เขาไว้ผมยาวและรวบไว้ด้านหลังสะท้อนถึงบุคลิกตามสาขาที่ร่ำเรียน


“ลืมเพื่อนเก่าแล้วรึ” ผมกระตุ้นให้เขานึกออกด้วยตัวเอง


“ฉัน ไม่นิยมจำชื่อคนนอกวรรณะ” เขาหันไปวาดรูปสีน้ำมันต่อ แต่ผมเดินเข้าไปขวางระหว่างผืนผ้าใบ เป็นการบังคับกลาย ๆ ว่าเขาต้องฟังผมเท่านั้น


“นาย คงไม่ลืมสิ่งที่ทำกับผมไว้หรอกนะ?” ผมหมายถึงหลายครั้งหลายคราวที่เขานั่งสเก็ตซ์รูปภาพตอนที่ผมถูกเพื่อนรุม บังคับให้เปลือยกายล่อนจ้อน บางครั้งก็เป็นคนบงการให้เพื่อนคนอื่นเหยียบย่ำผม โดยอ้างว่าทำเพื่อศิลปะ แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ากันย์คืออัจฉริยะด้านศิลปะชนิดหาตัวจับยาก กวาดรางวัลทั้งระดับจังหวัดและประเทศจนประกาศนียบัตรและโล่เกียรติคุณสะสม ไว้เต็มบ้าน


“ลาโง่เอ๋ย มันคือศิลปะ นายควรแซ่ซ้องสรรเสริญมากกว่าก่นประณามด้วยความขลาดเขลา”


“ศิลปะบ้านแกสิ!?” ผมเริ่มของขึ้น ผลักฉากขึงผ้าใบล้มตึง ความโกรธปะทุเสียยิ่งกว่าตอนได้รับจดหมายแบล็คเมล์


“ไม่แปลกที่นายจะไม่เข้าใจ เพราะศิลปะคือสุนทรียรสที่มีไว้สนองอุดมการณ์ของคนชั้นสูงเท่านั้น” เขาพูดต่ออย่างหน้าตาย


“ความ คิดผูกขาดวัฒนธรรมสงวนไว้เฉพาะแวดวงชนชั้นสูง มันพังพินาศไปนานแล้วตั้งแต่มีเทคโนโลยีเข้ามา ฉันหรือใครก็มีสิทธิ์ซื้อซีดีโมสาร์ทมาฟัง หรือจะพอใจชื่นชมภาพโมนาลิซ่าในกุ๊กเกิ้ลเอาก็ได้ ดูท่าแกจะยึดติดกรอบความคิดคร่ำครึว่าวิชาจำพวกศิลปะ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ มีแต่คนชั้นสูงที่เรียนด้วยรสนิยมเพราะไม่ขัดสนเรื่องปากท้อง แกลำพองเกินไป! ลืมตาดูโลกซะมั่งว่าตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงมากไปเท่าไหร่ เลิกอ้างนามสกุลกินบุญเก่าหลอกให้ชาวบ้านยกย่องไปวัน ๆ ซะที! ยุคสมัยที่แกฝันมันจบไปนานแล้ว!! หัดอ่านหนังสือหลากหลายบ้างนะจะโลกทัศน์จะได้กว้างเกินกะลาครอบ!” ผมร่ายยาว ดึงดันเอาชนะความดื้นด้านไม่เข้าท่าของไอ้ผู้ดีแปดสาแหรกที่นั่งเต๊ะไม่รู้ ร้อนรู้หนาวตรงหน้า


“อย่า คิดว่าการศึกษาหรือการยกทฤษฎีสวยหรูขึ้นมาอ้างจะสร้างความชอบธรรมให้กับตน เองได้ สายโลหิตยังคงเป็นเครื่องยืนยันถึงฐานะในสังคม ต่อให้นายจบปริญญาเอกและรวยล้นฟ้าก็ไม่ต่างจากสามล้อถูกหวยในมุมมองของพวก เราหรอก” นับว่ากันย์เป็นลูกหนี้คนแรกที่ได้ต่อปากต่อคำกับผมได้อย่างมีชั้นเชิง


“ถ้า จะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เทพก็คือเทพ มารก็คือมาร แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียดแค่ไหน แต่โอปปาติกะเหล่านี้ก็ไม่มีทางย้ายจากภพภูมิที่เป็นกำพืดเดิมของตนได้” กันย์เริ่มโยงไปถึงปรัชญาเชิงศาสนา


“งั้น เทพอย่างพวกแกมีค่านิยมทำผู้หญิงท้องแล้วทิ้งรึไง รู้ไหมว่าลูกโตจนเข้าอนุบาลแล้ว!! ภูมิกับพลอยต้องมาแบกรับปัญหาที่แกไม่เคยแม้แต่จะเหลียวแล เคยคิดจะส่งเสียเลี้ยงดูลูกในไส้บ้างรึเปล่า!!” ผมหยิบรูปน้องเก่งที่ได้มาจากห้องภูมิ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อร่อนไปยังกันย์ เขาใช้สองนิ้วคีบสู่ฝ่ามืออย่างลงจังหวะ
.
.
กันย์ใช้เวลาเพ่ง พินิจรูปน้องเก่งอยู่สักพัก ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในที่สุดเขาก็ลุกจากเก้าอี้ ขึ้นมาอยู่แนวสายตาในระดับเดียวกัน
.
.
.
กันย์ฉีกรูปน้องเก่งแยกเป็นสองส่วนแล้วส่งคืนให้ผม
.
.
.
“หญิง อ่อนต่อโลกนางนั้นเลือกที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้เอง ฉันไม่สามารถรับผิดชอบได้ แม้ฐานะทางบ้านเธอจะร่ำรวย แต่ก็อย่างที่บอกไปว่า ในมุมมองของพวกฉัน ครอบครัวหล่อนก็ไม่ต่างจากเศรษฐีใหม่ที่ตั้งตัวได้จากการถูกหวยรวยหุ้น เราไม่เหมาะสมกันด้วยชาติตระกูล”


“ไม่ เหมาะแล้วแกไปทำเค้าท้องทำไม!! เลิกแถข้าง ๆ คู ๆ ได้แล้วไอ้ผู้ดีสติแตก!!” ผมเริ่มจับจิตของกันย์ได้คร่าว ๆ มันต่างจากกระแสจิตของคนทั่วไป และจากประสบการณ์ที่สะกดจิตคนมาหลายร้อยราย ทำให้ผมรู้ว่านี่เป็นลักษณะคุณภาพจิตของผู้เสพย์ยาเสพติด นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้มันพูดละเมอเพ้อพกด้วยสำนวนเพี้ยน ๆ


“เจ้า หล่อนก็มีคู่ครองปัจจุบันแล้วนี่ ฐานะก็เหมาะสมกันดี คงมีความสุขตามอัตภาพ แล้วนายจะเดือดร้อนไปทำไมกัน” กันย์ลอยหน้าลอยตายียวนด้วยมาดสงบนิ่ง


“ภูมิ กับแกอาจจะพูดไม่รู้เรื่องทั้งคู่ แต่ความเป็นคนของแก มันเทียบกับภูมิไม่ได้แม้ปลายเท้า เขาเป็นลูกผู้ชายมากกว่าแกอีก จำไว้ด้วย!” ผมชักเหลืออดกับเจ้านี่ทุกที ยิ่งเห็นมันวางตัวได้นิ่งเฉยไม่ไหลไปตามเกมยิ่งนึกหมั่นไส้ แต่มันกำลังจะจบลงแล้ว จากที่โต้ตอบเฉือนวาทะกันไปมาทำให้ผมเริ่มจับทางวิเคราะห์บุคลิกของมันได้ และผมจะกำลังจะเล่นกับวิธีพูดที่ใช้โจมตีจุดอ่อนของคนบุคลิกแบบมัน
.
.
.

“จะ บอกอะไรให้อย่างนึงนะ พลอยเล่าให้ฉันฟังว่าเครื่องเคราของภูมิขนาดเร้าใจมาก เทียบกับแกแล้วเหมือนไม้แคะหูแคะฟัน แถมภูมิมีกล้าม มีกล้ามหน้าท้องหกลอน จับพลอยเอากันท่าอุ้มแตงจนถึงสวรรค์ ลีลาเด็ด ๆ แบบนี้ผู้ชายระหงบอบบางอย่างแกทำไม่ไหวหรอก พลอยฝากทิ้งท้ายมาบอกว่าสงสัยลูกชายตระกูลคงนี้มีแต่พวกขี้โรคบ่มิไก๊ ข้างในไร้น้ำยา” ผมมั่นใจว่ามันต้องสะอึกเมื่อได้ยิน
.
.
.

“บังอาจนัก! พวกไพร่!” ได้ผลเกินคาด กันย์หน้าแดงก่ำ พุ่งตรงเข้ามาบีบคอผม


“คน สกุล “จิรวรกาล” ล้วนสูงส่งด้วยเกียรติภูมิที่สืบทอดมาหลายชั่วคน!! จะมาถูกไพร่อย่างแกลบหลู่ไม่ได้!!” ผมหายใจติดขัดเล็กน้อยจากแรงบีบ แต่มันก็คุ้มเมื่อเทียบกับความสะใจที่ได้กระชากหน้ากากเจ้าผู้ดีจอมปลอมออก มาได้ ในที่สุดมันก็ลดตัวลงมาเป็นทาสแห่งโทสะระดับเดียวกับผม


“ถอน คำพูดบัดเดี๋ยวนี้ไอ้ไพร่เลว!!” เขาเริ่มหนักมือขึ้น แต่ก็ถือว่าไม่เกินขอบเขตที่ผมจะออกแรงต้าน พลกำลังของพวกขี้ยาร่างบางจะมาสู้กับคนปกติได้อย่างไร ไม่งั้นพวกนี้มันไม่เล่นปืนผาหน้าไม้กันหรอก


ผม ผลักอกกันย์จนเซถลาไปชนชั้นวางของ ถังบรรจุสีเขียวที่วางไว้หมิ่นเหม่หตกลงมาราดตัวเขาจนท่อนบนเขียวปี๋เหมือน เนื้อตัวเปื้อนเลือดมนุษย์ต่างดาว เขานั่งกองอยู่กับพื้น มึนงงศีรษะจากแรงกระแทกถังสีที่ทำด้วยโลหะ


“แกเปรียบเปรยว่าตัวเองเป็นฝ่ายเทพ และฉันเป็นฝ่ายมารใช่ไหมกันย์?” ผมย่างเท้าเข้าใกล้เขาทีละน้อย


ส่วน กันย์ยังคงไม่มีสติเข้มแข็งพอที่จะโต้ตอบ ม่านตาผมขยายกว้างขึ้นเมื่อได้สบตากับเหยื่อรายนี้ โทษทัณฑ์ที่มันได้รับคือต้องจัดนิทรรศการศิลปะประจานด้านมืดของตนสู่สาธารณะ
.
.
.
.
.
“ฟังไว้ให้ดีไอ้เทพชั้นต่ำ พญามารตนนี้จะดึงแกลงมาสู่ภพภูมินรกเอง”
.
.
.
.
.
จบตอนที่ 8 ปัญหาครอบครัว

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 7 นายแบบมือสมัครเล่น

"แนวสะกดจิตเรื่องใหม่:แค้นวิปริต จิตสั่งกาม"

โดย
โทรจิตคุง Palm-Plaza.com Forum

ตอนที่ 7 นายแบบมือสมัครเล่น

ไม่มีการเปิดโอกาสแม้แต่ให้แจ็คใช้เวลาทำความเข้าใจคำพูดของผม ผมลุกโพล่งขึ้นปรบมือเรียกความสนใจจากคนในร้านทันที
.
.
“ต้อง ขอโทษที่เสียมารยาทครับทุกท่าน ขอความกรุณาทยอยกันไปรวมอยู่ด้านหลังก่อน วันนี้ร้านปิดแล้ว ส่วนมื้อนี้ผมขอเลี้ยงเอง ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”
.
.
ประกาศิต จากผมทำให้เสียงครื้นเครงจากเหล่าลูกค้าที่กำลังกินดื่มสังสรรค์ดับวูบลงราว กับวิทยุถูกดึงปลั๊ก ไม่ถึง 5 วินาที พวกเขาค่อย ๆ ลุกขึ้นพร้อมกันด้วยใบหน้าอันเหม่อลอย เดินอุ้ยอ้ายเข้าไปหลังร้านทีละคน ๆ ยังกับหนังซอมบี้บุกเมือง ขณะที่แจ็คทำได้เพียงหันซ้ายหันขวาสลับไปมาเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก
.
.
ผมไม่เว้นระยะให้แจ็คหายตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จัดการถ่ายทอดคำสั่งชุดต่อไปทันที
.
.
“ส่วนคนของผมขอให้ประจำตำแหน่ง! เคลียร์พื้นที่ให้หมด!”


พนักงาน ในร้านได้แก่ พนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ แม่บ้าน คนครัว บาร์เทนเดอร์ และเจ้าของร้าน รวมกว่า 10 คน เดินฉับ ๆ แยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ ที่ผมได้สั่งการไว้ ถูกต้องแล้วครับ ผมมาสำรวจที่นี่ก่อนเวลาจริงเพื่อดูสถานที่และสะกดจิตพวกพนักงานล่วงหน้า ก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาจะเข้าสู่ภาวะหุ่นเชิดพร้อมกันต่อเมื่อได้ยินคีย์เวิร์ดจากผมนั่นก็ คือคำสั่งปิดร้านนั่นเอง


ถ้า ทำได้แจ็คคงอยากเข้าไปตบหัวใครซักคนให้หน้าคะมำโทษฐานทำให้เขางุนงง แต่ไม่รู้จะเริ่มจากใครก่อนดีเพราะหุ่นเชิดของผมต่างกระจายตัวไปคนละทิศทาง ต่างคนต่างตรงไปปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวใด ๆ ทั้งสิ้น


“เล่น พิเรนทร์อะไรของมึง!?” แจ็คกวาดของบนโต๊ะลงพื้นเสียงดังโครมคราม แวบเดียวเขาพุ่งตัวปีนขึ้นเหยียบโต๊ะ คงหวังจะคว้าคอเสื้อผมเป็นหลักยึดแล้วอัดกำปั้นใส่หน้าไม่ยั้งจากมุมสูง แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่ยอมให้ใครมาตั๊นหน้าได้ง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว


ชั่ว พริบตาที่เกือบจะเอื้อมถึงตัวผม แจ็คสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งแหวกอากาศข้างกายผ่านไปด้วยความเร็วสูง และหยุดฝังตัวแน่นอยู่กับผนัง


“เฮ้ย! แม่งเล่นปืนเลยเหรอวะ!?” แจ็คเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น จิตของผมได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เมื่อกี้คงนึกว่าตัวเองตายไปแล้วกระมัง


กลิ่น และควันเขม่าปืนโชยกลืนไปกับอากาศ ชายอ้วนวัยกลางคนค่อย ๆ เผยตัวออกมาจากมุมมืด ในมือถือปืนเล็งตรงมาทางแจ็ค เขาคือเจ้าของร้านนั่นเอง ผมไม่ได้เตรียมอาวุธสังหารพวกนี้ไว้หรอกนะ เป็นคราวซวยของแจ็คเองที่เจ้าของร้านเป็นคนเล่นปืน และแน่นอน ผมย่อมต้องดึงศักยภาพของหุ่นเชิดแต่ละตัวออกมาใช้ให้คุ้มค่าที่สุดอยู่แล้ว มีของดีต้องรู้จักใช้


แจ็ค ดีดตัวขึ้นเตรียมตัวหนีแต่ก็พบว่าประตูทางเข้ามีบาร์เทนเดอร์ถือขวดปากฉลาม ขวางทางยืนจังก้า ส่วนประตูหลังร้านพนักงานเสิร์ฟสาวสวยสองคนเดินถือมีดยืนกั้นเอาไว้ ขณะที่เจ้าของร้านผู้ใช้อาวุธปืนยังคงจับจ้องทุกกระทำของเขา นัยน์ตาของทุกคนว่างเปล่าเกินกว่าที่แจ็คจะคาดเดาได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร มีเพียงสิ่งเดียวที่พออ่านสถานการณ์ได้ คือพวกเขาไม่เป็นมิตรกับแจ็คแน่นอน


“ไม่ มีการเจรจายื่นหมูยื่นแมวใด ๆ แล้วละนะแจ็ค เงินนี่ผมใช้เป็นตัวล่อให้นายตายใจเท่านั้น และเดิมทีผมก็สามารถชิงรูปพวกนั้นมาได้เองอยู่แล้ว”

ทั่ว ใบหน้าแจ็คเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬซึ่งผุดขึ้นมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหวาดกลัวกับปรากฏการณ์เหนือสามัญสำนึกที่เกิดขึ้นตรง หน้า เขาไร้หนทางแม้แต่จะเดาว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร


“นาย จะเข้าใจว่าผมมอมยาคน เล่นคุณไสย ใช้จิตวิทยา หรืออุปทานหมู่ก็เชิญ คิดตามที่นายอยากให้เป็นได้ตามสบาย ขอให้รู้แค่เพียงว่าตอนนี้ผมสามารถบังคับมนุษย์ได้ไม่ต่างจากกดปุ่มรีโมท และรวมถึงนายด้วย แต่ผมยังไม่ทำก็แค่นั้น” ผมค่อย ๆ ย่างเท้าก้าวหาแจ็คซึ่งกำลังถอยหลังจนมุมมุมหนึ่งของร้าน


“ม. . .มึงอยากได้รูปนักใช่ไหม เอาไปเลย!” เขาขว้างซองบรรจุรูป ผมคว้าหมับไว้ได้อย่างแม่นยำ


“บอก แล้วไงแจ็ค เดิมทีผมสามารถชิงรูปแบล็คเมล์มาได้เองอยู่แล้ว แค่นี้ไม่ถือว่าหายกันหรอก” ทันทีที่ได้รับซองดังกล่าว ผมก็จัดการมันด้วยการใช้ไฟแช็คจุดเผาทำลายทันที


“ถึง แม้ผมลงทุนเปลี่ยนทั้งรูปร่างหน้าตาทั้งประวัติส่วนตัวแล้ว นายก็สามารถตามสืบจนรู้ว่าผมคือใคร ซ้ำยังแบล็คเมล์เรียกเงินครึ่งล้านด้วยข้อมูลชั้นสองที่เหลือใช้จากพวกจตุร เทพอีก ขอชื่นชมที่กล้าดีได้อย่างชนิดว่าไม่เคยมีหน้าไหนกำแหงกับผมถึงขนาดนี้” ดูเหมือนในที่สุดแจ็คก็ประเมินได้แล้วว่า ณ เวลานี้ เขาทำได้เพียงแค่ยอมจำนน และเดิมทีเขาก็มีหนี้ที่ต้องสะสางกับผมอยู่แล้ว ยิ่งมีเรื่องนี้เข้ามาพ่วงด้วยแล้วอย่านึกว่ามันจะปิดฉากลงง่าย ๆ เหมือนการ์ตูนสี่ช่องจบ
.
.
.

ผม ปรบมืออีกครั้งเพื่อส่งสัญญาณเรียกคนที่เตรียมไว้อีกส่วนให้เผยตัวออกมา กลุ่มคนจำนวนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อยืดดำท่าทางทะมัดทะแมงก็วิ่งขนอุปกรณ์ สำหรับสตูดิโอออกมาติดตั้งอย่างกุลีกุจอ ยิ่งสร้างความมึนงงให้แจ็คหนักเข้าไปอีก แต่ในที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกสติเขากลับคืนมาได้ เมื่อวีรวุฒิพาตัวผู้หญิงคนนึงที่อยู่ในสภาพถูกปิดตาปิดปากมัดมือตามออกมา เป็นลำดับท้ายสุด


“แอน!” แจ็คหน้าซีดเผือด แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าคือวีรวุฒิที่อยู่ข้างตัวเธอ


“ไอ้ วี!! นี่มึงขายกูเหรอ! กูนึกแล้วว่าทำไมอยู่ดี ๆ มึงถึงชวนกูคุยเรื่องขายตรง!” เขาตะคอกถามวีซึ่งได้แต่ก้มหน้ามองพื้นแสดงอาการไม่สู้หน้าแทนคำตอบ


“อย่าต่อว่าเขาเลยแจ็ค” ผมแทรกขึ้นฉับพลัน “นายเป็นคนพูดเองนะว่าคนเราพอจนตรอก เหี้ยแค่ไหนก็ต้องทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ถูกไหม?”


“วี เขาก็จนตรอกเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามผมสั่ง เขาเองอาจเป็นฝ่ายเดือดร้อน อย่างที่นายกำลังเป็นอยู่นี่ไง” ผมเสริมต่ออีกเล็กน้อย เล่นเอาแจ็คทำอะไรไม่ถูกนอกจากกลืนน้ำลายอึกใหญ่เป็นการตั้งสติ


“มึงรู้ได้ยังไงว่าแอนเป็นแฟนกู” แจ็คเปลี่ยนเป้ายิงคำถามมาทางผมแทน


“ผม ไม่รู้จักเธอหรอกแจ็ค เอาเป็นว่าหัวหน้าห้องของเราเก่งมากพอที่จะสืบมาได้แล้วกัน และที่สำคัญเหนือสิ่งใด ผมรู้ว่าเธอสมคบคิดกับนายแบล็คเมล์ผม นายให้เธอเป็นคนดูต้นทางว่าผมมาตามนัดรึเปล่าใช่ไหมละ แล้วยังให้เก็บรูปอีกสองใบเผื่อไว้ในกรณีผมเล่นตุกติกอีกด้วย” ผมอ่านใจเธอไปพลาง สาธยายความลับให้ทุกคนฟังไปพลางเหมือนล่ามแปลสด ไม่สินะ ต้องเปรียบว่าเหมือนผมนำเคล็ดลับมายากลที่ใครสักคนทุ่มเทกายใจบรรจงเขียน บันทึกไว้อย่างปราณีต ดึงออกมาฉีกเป็นริ้ว ๆ ใช้เท้าขยี้ให้ดูต่อหน้าต่อตา ว่าสิ่งที่เขานึกเอาเองว่าตรองไว้อย่างดีเลิศมันก็เป็นเพียงกลอ่อนหัดไร้ ชั้นเชิงเมื่อต้องเผชิญกับพลังของผม


หลัง จากอ่านใจจนหมดเปลือกผมก็ใช้มือล้วงเข้าไปในซอกอกแฟนสาวของแจ็ค เธอขยับตัวขัดขืนพอเป็นพิธี ป่านนี้ทุกคนคงยอมรับชะตากรรมแล้วว่าไม่มีอะไรที่ปิดซ่อนได้แม้จะสบถด่าผม แค่ในใจคำเดียวก็ตาม


“ไอ้เต๋อ! มึงหยุด!!!” แจ็คทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ผม แต่ก็ชะงักไว้เพราะเสียงหมุนลูกโม่ปืนจากเจ้าของร้านที่ยังคงยืนคุมเชิงไว้


“อุตริ ซ่อนไว้ตรงนี้เอง. . .ช่วยไม่ได้” ผมชักมือออกทางคอเสื้อของหญิงสาวพร้อมรูปถ่ายอีกสองใบที่เหลือ แล้วใช้ไฟแช็คฌาปนกิจรูปชุดหลังให้สิ้นซากตามกันติด ๆ แจ็ครู้ตัวดีว่าไม่หลงเหลือสิ่งใดที่จะใช้ต่อกรกับผมได้อีกต่อไป


“พร้อมจะใช้หนี้ผมหรือยังแจ็ค ทั้งเรื่องเก่าและใหม่” การเจรจาต่อรองกับแจ็คจบลงแล้วเมื่อครู่ บัดนี้ผมได้เปิดวาระใหม่ขึ้นมา


ทีมงานเสื้อยืดดำของผมมองตรงมายังแจ็คเป็นทางเดียวกัน


“ลำบาก แค่ไหนรู้ไหมกว่าจะตามตัว บก. หนังสือใต้ดินกับทีมงานได้เนี่ย. . . ” ผมทิ้งช่วงให้แจ็คได้พักหายใจแล้วจึงพูดต่อ “. . .ยิ่งเป็นหนังสือเกย์ยิ่งยากเป็นร้อยเท่า”


“ม. . .หมายความว่าไงวะ”


“ผมจะให้นายเป็นนายแบบหนังสือเกย์” ผมเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว


“มึง เสียสติไปแล้วเรอะ!!” แจ็คต้องยั้งเท้าไว้อีกครั้ง เมื่อเจ้าของร้านใช้เป้าหมายใหม่ เขาเล็งปากกระบอกปืนไปทางแฟนสาว แม้มีระยะห่างจากกันพอสมควรแต่ก็เห็นได้ว่าเล็งศีรษะไว้เป็นหลัก แม้ฝ่ายหญิงจะถูกปิดปากปิดตาก็ดูเหมือนว่าจะรับรู้ถึงสถานการณ์ตึงเครียดที่ อยู่รอบตัว ผมสังเกตได้ว่าเธอกำลังสะอื้นไห้ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวตาย


“ปล่อยแอนไปเถอะ แฟนกูไม่รู้เรื่องอะไรด้วย!” ในที่สุด แจ็คก็เริ่มเป็นฝ่ายขอความเห็นใจผมจนได้


“ไม่ต้องหว่านล้อมผมหรอก ผมทราบดีว่าเธอสมรู้ร่วมคิดกับนาย แต่เอาเถอะผมจะละเว้นเธอไว้คนนึง”

ผม พอเข้าใจแนวคิดคำไทยโบราณคำหนึ่งคือ “เมียโจร” กล่าวคือผู้หญิงบางคนยอมถูกตราหน้าเป็นคนชั่วช้า ร่วมหัวจมท้ายไปกับผู้สามีมหาโจรก็เพราะเทิดทูนความรักความซื่อสัตย์ไว้ เหนือความถูกต้อง ก็นับว่าน่าเห็นใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องบาดหมางระหวางผมกับแจ็คจะหายกันได้ด้วยน้ำตานัง คนนี้ เธอเองก็เป็นฝ่ายผิดที่เลือกคนไม่ดี หลับหูหลับตาเอาไอ้ผีพนันอนาคตมืดนี่มาเป็นแฟน ยังไงถึงไม่ติดใจเอาความเธอก็ต้องให้ไอ้แจ็คชดใช้หนี้ให้ผม


“ถ้า นายอยากให้แฟนปลอดภัยล่ะก็. . .นายต้องยอมมีอะไรกับผู้ชายโดยถูกบันทึกภาพเผยแพร่” ผมดีดนิ้วเรียกนายแบบนู้ดชาวฟิลิปปินส์ผิวแทนที่เตรียมไว้ออกมา ตัวสูงถึงร้อยแปดสิบแปดเซนติเมตร หุ่นหนาใหญ่แบบคนเล่นเวท เขาคือดาวเด่นประจำหนังสือนู้ดเกย์ใต้ดิน ซึ่งก็ไม่แปลกที่แจ็คไม่เคยคุ้นหน้ามาก่อน


“เลือก เอาเองว่าจะรักษาศักดิ์ศรีหรือจะเก็บชีวิตแฟนไว้” แน่นอน ท่าทางจริงจังจนถึงขั้นกล้าลงมือฆ่านั้นเป็นแค่การใช้จิตวิทยาขู่เพื่อกดดัน ต่อให้เจ้าตัวแข็งขืนคิดหนีขึ้นมาก็ต้องถูกผมสะกดจิตอยู่ดี ที่ปล่อยให้เขามีสติจนถึงตอนนี้เป็นเพราะอยากเห็นต้องการให้รู้ซึ้งกับตัว ว่านรกที่ผมเคยสัมผัสมันเจ็บปวดแค่ไหน ไม่ใช่เรื่องที่น่าขุดคุ้ยเอารูปในอดีตมาตอกย้ำให้เจ็บช้ำน้ำใจกันได้เพียง เพราะเห็นแก่เงิน

“แค่นั้นเรอะ. . .ย่อมได้” เขากัดฟันตอบ น่าขำที่มันสะท้อนถึงคติพจน์ของเจ้าตัวที่ว่า คนเราพอจนตรอก เหี้ยแค่ไหนก็ต้องทำเพื่อตัวเอง อีกเป็นรอบที่สอง

“อย่านึกว่าง่ายอย่างที่คิด นายต้องเป็นฝ่ายรับ” แจ็คแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินผมขยายความเพิ่มเติม
.
.
.
.
เสียง เข็มนาฬิกาเดินภายในร้านซึ่งเงียบสงัดช่วยสริมบรรยากาศแห่งการใช้ความคิด แจ็คต้องขอใช้เวลาทำใจอยู่พักใหญ่ เขานั่งซดเครื่องดื่มดีกรีร้อนแรงย้อมใจได้ประมาณยี่สิบนาทีแล้ว นอกจากนี้ยังขอร้องให้นำตัวแฟนของเขากักตัวไว้อีกที่หนึ่งเพราะไม่อยากให้ ได้ยินได้เห็นชะตากรรมข้างหน้าที่กำลังรอคอยเขาในอีกไม่ช้า


“กู. . .พร้อมแล้ว” แจ็คขานขึ้นด้วยสภาพกรึ่มฤทธิ์น้ำเมา ผมรีบตอบสนองความตั้งใจด้วยการสั่งให้ทีมงานกรูกันเข้าไปจัดแต่งหน้า ทาแป้งปิดริ้วรอยให้ผิวขึ้นกล้อง และเซตผมให้ดูเป็นผู้เป็นคน


“ต๊าย คุณน้องเนี่ย จับแต่งตัวดี ๆ ก็นับว่าหล่อเหลาเอาการเลยนะคะ โครงหน้าก็ดีอยู่แล้ว โกนเคราโกนจอนออกหน่อยดีไหมคะจะได้ดูหน้าใสสมวัย” กะเทยช่างแต่งหน้าออกความเห็น ทีมงานส่วนใหญ่ถูกผมควบคุมสติสามในสี่ส่วนแบบเดียวกับที่เคยทำกับนักเรียน ทั้งห้อง เพื่อให้ยังเหลือความเป็นตัวเองสำหรับคิดเชิงสร้างสรรค์และทำงานได้ลุล่วง


“ไม่ละ อย่ายุ่งกับผมเกินกว่าที่ตกลงกันไว้” แจ็คยกมือปราม


“ช่างเขาเถอะ” ผมบอกเป็นเชิงให้ช่างแต่งหน้าอย่าก้าวก่ายรสนิยมส่วนตัวเพื่อความสะดวกใจของนายแบบ


“แล้วไงต่อ?” แจ็คถอดเสื้อและกางเกงออก เหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์สีน้ำเงินเข้มตัวเดียว


“เปลี่ยนเป็นตัวนี้นะน้อง จะได้เข้าชุดกับนายแบบอีกคน” สไตลิสต์จอมจุ้นส่งบิกินี่สีดำตัวจิ๋วให้แจ็ค


“จะ บ้าเรอะ! กางเกงในตุ๊ดชัด ๆ !!รัด ๆ เล็ก ๆ แบบนี้!!” แจ็คโวยวายเมื่อเห็นกางเกงในที่ต้องใส่ถ่ายแบบ แต่ผมพูดให้คิดว่าอีกเดี๋ยวก็ต้องล่อนจ้อน จะใส่ปิดมากปิดน้อยก็มีค่าไม่ต่างกัน


การ เตรียมพร้อมเสร็จสิ้น หนังสือเล่มนี้จะได้คู่พิเศษคือ แจ็ค นายแบบหน้าใหม่ เด็กหนุ่มลุคนักร้องเพลงร็อค ไว้เคราและจอน ผิวขาวสไตล์เอเชีย หุ่นสันทัดเข้ารูปกับบิกินี่สีดำ กับนายแบบฟิลิปปินส์ผิวแทนหน้าคม คิ้วหนา รูปร่างสูงใหญ่ในชุดบิกินี่สีขาว กางเกงในและสีผิวของทั้งสองช่างตัดกันอย่างมีศิลปะ ส่วนฝ่ายแสงไฟและตากล้องสแตนด์บายไว้เรียบร้อยแล้ว นายแบบชาวฟิลิปินส์เดินเข้ามาแนะนำตัวกับแจ็ค เขาชื่อริคกี้ และตามธรรมเนียมก่อนเริ่มงาน เขาได้จับมือแบบเชคแฮนด์และยิ้มให้แจ็คเพื่อลดความเก้อเขินระหว่างกัน


“ริ คกี้พูดไทยได้ คุยง่ายอะไรง่าย มีอะไรติดขัดก็บอกเขาได้นะน้อง” สไตลิสต์คนเดิมกระซิบราวกับเอาใจช่วยแจ็ค ไม่รู้ว่าจะเรียกเป็นโชคดีบนโชคร้ายได้รึเปล่า ขนาดอยู่ในสภาพถูกบังคับขืนใจจนตกต่ำก็ดูเหมือนว่าคนรอบข้างจะเป็นมิตรและ ต่างส่งกำลังใจให้กับการถ่ายนู้ดครั้งแรกของเขา ยกเว้นผมคนเดียวที่ไม่ขอแบ่งความรู้สึกนี้ให้ เดี๋ยวจะกลายเป็นใจอ่อนไปได้


“เอา ละ เชิญตามสบาย ผมจะยืนดูห่าง ๆ จะได้ไม่รบกวนการทำงาน” ผมสั่งให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดย้ายไปอีกบริเวณหนึ่งของร้าน ส่วนตัวผมเองยืนอยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกล เพื่อใช้โทรจิตอ่านความรู้สึกการเสียหนุ่มให้เพศเดียวกันครั้งแรกของแจ็ค


ริ คกี้เล้าโลมแจ็คแบบไม่ทันให้ตั้งตัวด้วยการระดมจูบทั่วเรือนร่าง แม้แต่ชายแท้อย่างแจ็คถึงกับต้องอ่อนระทวย จนเข่าอ่อน สีหน้าท่าทางพริ้วไปกับอรรถรสซาบซ่าน อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ช่วยให้ใจกล้าหน้าด้านทำแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน แต่ก็ดีกับช่างกล้องเพราะสามารถบันทึกภาพสื่ออารมณ์เสียวได้อย่างไม่ยาก ลำบากนักกับมือใหม่อย่างแจ็ค


“โอย. . .เสียว” แจ็คห่อตัวด้วยความเขินอาย เขาถูกริคกี้โอบกอดจากด้านหลังและเลียใบหูเบา ๆ มันเป็นความอบอุ่นรูปแบบใหม่ที่ชายแท้อย่างเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต


“มี คนบอกว่าเป็นครั้งแรกของคุณกับผู้ชายด้วยกัน ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับ จะทะนุถนอมคุณเป็นพิเศษเลย” ริคกี้พูดกล่อมให้แจ็คเคลิบเคลิ้ม ขณะที่มือของหนุ่มปินส์ได้ย้ายตำแหน่งมาสู่เป้ากางเกงในแจ็คที่ของข้างใน แข็งจนแทบจะทะลุออกมาแล้ว
ช่างภาพมือฉมังกดชัตเตอร์รัวบันทึกไว้ทุก อิริยาบถชวนเงี่ยน บัดนี้ริคกี้ได้ปลดเปลื้องปราการชิ้นสุดท้ายที่ห่อหุ้มควยของทั้งสองออกจาก กัน แต่แจ็คกุมมือปิดของสงวนไว้ด้วยความประหม่า


“ไม่ ต้องอายครับ ทำใจให้สบาย นึกซะว่ามีเราอยู่กันแค่สองคน” ริคกี้พยายามสร้างบรรยากาศ พูดน่ะมันง่ายแต่กับนายแบบมือสมัครเล่นอย่างแจ็คคงจะยากไปหน่อยแม้จะได้ดื่ม เหล้าย้อมใจมาบ้างก็ตาม ผมจึงช่วยอีกแรงด้วยการสะกดจิตขั้นผิวเผิน ทำให้แจ็คไม่สนใจทีมงานรอบตัวและคิดว่ามีกันอยู่เพียงสองคนจริง ๆ


“จะ ทำอะไรน่ะ” แจ็คถามอย่างตื่นตระหนกขณะที่ถูกริคกี้จัประคองกายทอดลงกับโซฟายาว เขาถูกช้อนต้นขาขึ้นมุมสูง บั้นท้ายกระดกเหนือโต๊ะ “อย่านะเว้ย…ตรงนั้นมัน. . .!!” แจ็คร้องปราม แต่ช้าไปเสียแล้ว


“โอ๊ย!” เขาร้องราวกับถูกคมมีดกรีดลึก แต่ที่แท้จริงคือคมลิ้นของริคกี้ซึ่งตรงชอนไชเข้าใจกลางทวารหนัก ช่องทางที่แจ็คไม่เคยคิดว่าจะทำให้เขาเสียวได้ขนาดนี้มาก่อน


“มะ. . .มัน. . .ทะ. . .ทำกันได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ” แจ็คครางเสียงกระเส่า ริคกี้ยังคงปฏิบัติการล้างตู้เย็นต่อไปอย่างอร่อยนุ่มชุมลิ้น รูตูดแจ็คมีขนดำขึ้นแซมพอสมควร ตามปกติแล้วหนังสือพวกนี้อาจจะให้นายแบบโกนขนเสียก่อนเพื่อความสวยงาม แต่ด้วยคอนเซปต์ “ชายแท้เสียบอลขายตัวใช้หนี้” ก็คงไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก เอากันดิบ ๆ ตามธรรมชาติน่าจะเข้ากับคอนเซปต์ที่วางไว้ได้ดีกว่า


“ดูดควยให้ผมหน่อยสิครับ” ควยของริคกี้จ่ออยู่ตรงปากแจ็คแล้ว แต่เขาทำได้แค่เพียงกำไว้ในมือ ไม่กล้าใช้ปากทำออรัลให้ผู้ชายด้วยกัน


“เอา อย่างนี้ เริ่มด้วยท่า 69 ไหมครับ คุณจะได้ไม่อายมาก ต่างคนต่างช่วยกัน” พูดจบริคกี้ก็หันหางเสือกลับลำ ดูดควยหัวชมพูของแจ็คเข้าไปเต็มอิ่ม ดูเหมือนริคกี้จะโปรดปรานมากเพราะเขาเองก็อยู่ในวัยยี่สิบปลาย ๆ แล้ว การได้เติมเชื้อไฟด้วยควยเด็กหนุ่มชายแท้วัยยี่สิบจึงช่วยให้รู้สึกกระชุ่ม กระชวย เขาโม๊คให้แจ็คอย่างมืออาชีพ ส่วนแจ็คได้แต่อม ๆ ดูด ๆ ควยนายแบบฟิลิปปินส์อย่าเงอะงะ ถึงควยริคกี้จะคล้ำเพราะผ่านศึกเยอะไปนิดแต่เรื่องขนาดต้องยกนิ้วให้ ช่วงแรกแจ็ครู้สึกพะอืดพะอม แต่พอแลกเสียวให้กันได้สักพัก อารมณ์มันก็พาไปเอง แจ็แจ็คกล้าลองเสียวท่าใหม่ ๆ ยิ่งขึ้น เขากล้าจูบปากแลกลิ้น ดูดหัวนม ดูดถุงกระโปก หรือแม้แต่ให้ริคกี้นั่งคร่อมหน้าแล้วยอมเลียรูตูดผู้ชายเป็นครั้งแรก เขาหลับตาจินตนาการว่ารูตูดสีแทนของริคกี้คือแคมหีอันฉ่ำเยิ้มของแอนแฟนสาว เพื่อความสบายใจในการช่วยเร้าอารมณ์เงี่ยน ช่างภาพยังคงเก็บภาพเด็ดทุกช็อตต่อไปอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย


เมื่อโอ้โลมกันได้ระยะเวลาพอสมควร ก็ถึงส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นไคลแม็กซ์ของหนังสือฉบับนี้เสียที


“ขอผมเอาสดกับคุณนะครับ” ริคกี้พูดขึ้นขณะอยู่ในช่วงพักนอกเวลา เขาหยิบผลตรวจเลือดโชว์ให้แจ็คดูอย่างภาคภูมิใจ


“แต่. . .แต่ผม” แจ็คหน้าแดงก่ำ เวลานี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงเข้าทุกทีเมื่อได้ลองเสียวกับชายหนุ่ม รูปงามกล้ามแกร่ง แม้เป็นความสุขที่วิเศษอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่อีกด้านหนึ่งยิ่งเลยเถิดไปเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็น ชายของตนหร่อยหรอลงเรื่อย ๆ


“ขอ ผมเถอะคุณแจ็ค เป็นบุญควยของผมจริง ๆ ที่จะได้เปิดซิงตูดชายแท้อย่างคุณ ผมสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อคุณอย่างภรรยา ไม่ใช่เพียงคู่ขาข้ามคืน” คารมของริคกี้ฟังแล้วไม่ต่างกับตอนที่ผมขึ้นเวทีสร้างแรงบันดาลใจให้นักขาย แอนนาเบลล์ มีอำนาจโน้มน้าวคนให้คล้อยตามสูงจนน่ากลัว


และ ในที่สุด แจ็คก็ต้องพ่ายแพ้แก่ลมปากคาสโนว่าตัวพ่อ เขายอมยกขาเปิดทางให้ริคกี้ทำตามปรารถนา นายแบบฟิลิปปินส์ค่อย ๆ สอดลำควยเข้ารูตูดของแจ็คโดยมีเจลหล่อลื่นช่วยอำนวยความสะดวก แต่เมื่อเข้าไปได้เพียงครึ่งทาง


“โอ๊ย เจ็บ! เอาออกเลย!” แจ็คร้องโอดครวญขึ้นเสียงดัง นี่แหละคือความรู้สึกที่ผมอยากให้เขารับรู้เช่นเดียวกับตอนที่ผมถูกทารุณ เพราะฉะนั้นจึงไม่สมควรเอารูปพวกนั้นมาฟื้นฟอยหาตะเข็บกับผม ความจริงยังถือว่าแจ็คยังโชคดีที่ได้เจอกับคนใจดีอย่างริคกี้ ส่วนคราวผมนั้นไม่ต่างอะไรกับนรกบนดิน บริบทมันห่างกันเยอะ


ริ คกี้โน้มตัวลงดูดหัวนมแจ็ค และแช่ควยไว้อย่างนั้นชั่วคราวเพื่อให้ผ่อนคลาย เขากุมมือสับหว่างนิ้วกับแจ็คเพื่อให้เจ้าตัวรู้สึกว่าเขากำลังปรนเปรอความ เป็นผัวให้อย่างทะนุถนอมตามคำสัญญา


“แจ็ค ครับ เป็นเมียผมเถอะ” ริคกี้ดันควยต่อเข้าไปหลังจากที่พักให้ปรับตัวกันชั่วคราว คราวนี้มันเข้าง่ายกว่าเดิม เกิดสัมผัสคล้ายกับจะส่งเสียงผลุบ เมื่อเงี่ยงควยเข้าไปถึงจุด ๆ หนึ่ง และฝังตัวเข้ากับผนังลำไส้ใหญ่ของหนุ่มแจ็คลงล็อคพอดิบพอดี แจ็คเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้งยากแก่การอธิบาย เหมือนกับว่าร่างกายของเขาถูกจับถ่างออกเป็นการเสียสละเพื่อปรนเปรอความสุข ให้ผู้ชายด้วยกัน ใช่แล้ว สำหรับริคกี้นั้นมองว่าแจ็คยอมเสียเกียรติพรหมจรรย์แห่งลูกผู้ชาย เพื่อเสียสละให้เขาได้เริงรมย์รสชาติบั้นท้ายชายแท้ ดังนั้นเขาจะบรรเลงรสรักอ่อนเร่าร้อนแฝงรสหวานละมุนคืนให้แจ็คเป็นการตอบแทน อย่างสมเกียรติ


ริคกี้ค่อย ๆ บรรจงเย็ดตูดแจ็คอย่างเบามือ ขณะที่แจ็คทำได้เพียงหลับตากัดฟันคราง คงจะเสียว ๆ เจ็บ ๆ ตามธรรมชาติคนเพิ่งเปิดซิงตูด


“เจ็บไหมครับที่รัก” ริคกี้โน้มตัวลงจูบแจ็คอย่างละเมียดละไม


“ช่างเถอะ. . .ทนไหว” แจ็คขบฟันตอบ คงจะฝืนอารมณ์อยู่บ้าง


“กอด หลังผมสิ จะได้อบอุ่น อย่าคิดว่าผมเป็นเซ็กส์พาร์ทเนอร์สิ เรารู้สึกต่อกันลึกซึ้งกว่านั้นนะ ผมเป็นเกย์คนแรกของคุณ และคุณก็เป็นชายแท้คนแรกของผม” เหลือเชื่อจริง ๆ ไม่รู้ไปสรรหาแต่ละประโยคมาจากไหน เห็นทีผมต้องอ่านใจริคกี้สลับไปมากับแจ็คให้ถี่กว่าเดิม เผื่อจะได้เรียนรู้เคล็บลับโน้มน้าวใจเด็ด ๆ ติดหัวมาบ้าง จะได้พึ่งพาพลังจิตน้อยลง


แจ็ค ยอมกอดหลังริคกี้ บัดนี้เขายอมรับบทบาทความเป็นสามีของริคกี้อย่างเต็มใจแล้ว ทั้งสองปลดปล่อยอารมณ์ดิบเต็มที่ ริคกี้ซอยตูดแจ็คแบบเน้น ๆ รัว ๆ หลังจากแจ็คเริ่มปรับสภาพได้ แจ็คควยแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติทันทีที่ความเจ็บปวดมลายหายสิ้น ทั้งคู่พากันลองท่าใหม่ ๆ แจ็คถูกกระหน่ำรักในท่านั่ง ลิงอุ้มแตง และท่าหมาจนเมื่อถึงแก่เวลาอันสมควรทั้งสองก็กลับมาใช้ท่านอนหงายมาตรฐานอีก ครั้งเพื่อเตรียมปิดกล้องรูปเซตสำคัญ


“แจ็คครับ ทนอีกนิดนะครับ ผมจะแตกแล้ว” ริคกี้ประสานสายตากับแจ็ค มือก็ชักว่าวให้แจ็คไปด้วย ทั้งสองต่างให้กำลังใจกันและกัน


“เซต นี้เริ่ดจริงอะไรจริง พี่ขอแตกในเลยนะริคกี้ รับรองยอดขายถล่มทลายเป็นประวัติการณ์แน่แม่คุณเอ๊ย”สไตลิสต์ผู้คุมงานบอก เตือนก่อนริคกี้จะถึงจุดสุดยอด


“แจ็ค ครับ แจ็คเป็นเมียผมแล้วนะ!” สิ้นเสียงกู่ร้อง ริคกี้ก็เกร็งร่างกระตุก อัดพลังเฮือกสุดท้ายอัดลงตูดแจ็คเต็มแรงเกิด ปลดปล่อยน้ำกามเข้าทวารสุดแรงฉีด ปรี๊ด ๆ ๆ แจ็คเองก็ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ น้ำพุ่งกระจายถึงต้นคอตามไปติดกัน ริคกี้นอนกอดจูบแจ็คอยู่พักนึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าแจ็คมีคุณค่าสำหรับเขา แม้จะเป็นเพียงเวลาไม่นานนักก็ตาม


“คุณ คือคนพิเศษที่สุดของผมเลยนะแจ็ค ผมไม่เคยรู้สึกดีขณะทำงานแบบนี้กับคนอื่นได้เท่าคุณเลย” เขาถอนลำควยชุ่มโชกออกจากรูตูดแจ็คดังพล๊อบ น้ำว่าวหนุ่มฟิลิปปินส์ไหลเยิ้มออกจากรูตูดแจ็คที่ถูกขยายจนกว้าง เป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก ช่างภาพไม่รอช้า เก็บภาพเด็ดปิดท้ายรายการไว้อย่างทันท่วงที ตั้งแต่มันเริ่มปริ่ม ย้อยลงมา จนกระทั่งน้ำว่าวทั้งหมดไหลออกมาหมดตัวกองแฉะอยู่เต็มหว่างขา แจ็คนอนเงียบไม่พูดอะไร เขาหอบหายใจแรง มือป่ายหน้าผาก ตาแหงนมองเพดานอย่างไร้จุดหมาย ศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายของเขาจบสิ้นลงแล้ว เพื่อแลกกับการสนองตัณหาส่วนตัวและหนี้ที่ติดค้างกับผม
.
.
.
“แอน. . . .พี่ขอโทษ”
.
.
.
นี่เป็นความคิดสุดท้ายที่ผมอ่านใจแจ็คได้ก่อนที่เขาอ่อนแรงจนพล็อยหลับไป

ทีมงานหนังสือเกย์ใต้ ดินทยอยกันขนย้ายของออกไปจากบาร์ ส่วนลูกค้าคนอื่นผมสั่งให้กลับไปตั้งแต่ก่อนถ่ายทำแล้ว คงเหลือแต่พวกพนักงานร้าน วี แจ็ค แฟนสาวที่ถูกจับเป็นตัวประกัน และผมซึ่งกำลังซดบะหมี่ถ้วยรสต้มยำรองท้องกลางดึก


“ถามอะไรอย่างนึงสิไอ้เต๋อ” วีรวุฒิเอ่ยขึ้นมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้


“ว่า มาก่อน ตอบได้หรือไม่ได้ไม่รับปากนะ ขึ้นอยู่กับคำถาม” ผมพูดเผื่อไว้ก่อน ใจจริงก็ไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้นเพราะกำลังอร่อยกับบะหมี่ถ้วยรสโอชา


“กูลองถามน้องกู. . .เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่ไม่มีใครจำอะไรได้เลย”


“แล้วไงต่อ” ให้ตายเถอะ พูดไปกินไปจนน้ำซุปลวกลิ้นซะได้ พักเรื่องกินแล้วตอบคำถามตัดความรำคาญก่อนแล้วกัน


“มึงลบความทรงจำคนได้ด้วยใช่ไหม” คำถามของวีเล่นเอาผมเกือบสำลักเส้นออกรูจมูก


“นายจะรู้ไปทำไม?”


“กู ทำงานให้มึงเกินกว่าที่ตกลงไว้นะ แล้วยังมีเรื่องตัวประกงตัวประกันอะไรนี่อีก ยอมเสี่ยงตะรางกับมึงขนาดนี้แล้วยังไม่ไว้ใจกูอีกเหรอ” วีทำหน้าจริงจังยิ่งขึ้น


“ไม่มีความเสี่ยงอะไรหรอก ต่อให้มีตำรวจเห็นขั้นตอนการถ่ายทำกันทั้งโรงพักผมก็รับมือไหว มั่นใจได้” ผมพยายามทำให้เขาสบายใจ


“ก็นั่นคือการลบความทรงจำใช่ไหมละ” วีรวุฒิย้อนผม


“และพอกูหมดประโยชน์แล้วมึงก็จะทำกับกูด้วย กูรู้”


“วี. . .” ผมเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาก่อนลอย ๆ เพราะยังไม่รู้จะตอบยังไง ความคิดมันแล่นไม่ไวเท่าปัญหาตรงหน้า
.
.
.
“บางเรื่องลืมไปก็อาจจะดีกว่าจำได้นะ” ผมจ้องไปยังดวงตาของวี สงสัยคงต้องจัดการล้างสมองเร็วกว่ากำหนด. . .แต่แล้ว. . .


“โอย. . .กี่โมงแล้ววะ” แจ็คปัดผ้าห่มคลุมตัวออกจากโซฟาที่ใช้นอน เขาใส่บ็อกเซอร์ของตัวเองดังเดิม ผมเป็นคนนุ่งคืนให้เองแหละ


“ตีสองยี่สิบ” ผมตอบ


“เดี๋ยวกูมานะ ไปเยี่ยวก่อน” วีรวุฒิขอตัวเข้าห้องน้ำ ช่างมันก่อนแล้วกัน คุยกับแจ็คให้เรียบร้อยดีกว่า


“แอนอยู่ไหน!?” เขาดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาทันทีที่นึกออก


“เธออยู่หลังร้าน ทานข้าวแล้วเรียบร้อย ปลอดภัยดี กำลังให้รอกลับกับนายนี่ไง”


“เป็น คนรักแฟนดีนะนายน่ะ ตอนหลับอยู่ก็ละเมอแต่ชื่อแฟน” ผมแกล้งหยอกเล่น แม้รู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่มีอารมณ์เล่นด้วยก็ตามเพราะเพิ่งได้รับประสบการณ์ เลวร้ายจากผมไปหมาด ๆ


“กูหายติดค้างกับมึงแล้วใช่ไหมไอ้เต๋อ”


ผมพยักหน้าแทน ขี้เกียจพูดจะกินบะหมี่ต่อ


“กูขอโทษนะไอ้เต๋อ”


“เรื่องอะไร”
.
.
.

“ทุกอย่าง. . . .”
.
.
.


“. . . . . . . .” ผมรู้สึกจุกที่ลำคอ
.
.

“จริงอย่างที่มึงบอก กูควรรับผิดชอบปัญหาที่ก่อขึ้นเอง มึงก็หลบไปตั้งตัวสร้างฐานะเงียบ ๆ แล้ว กูยังตามไปหาเรื่องมึงอีก”
.
.
“. . . . . . . . .” ผมยังคงเงียบ
.
.
“ กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงไปทำอะไรมาถึงได้ควบคุมจิตใจคนรอบตัวได้ แต่ตอนนั้นกูกลัวมาก กูเป็นห่วงแฟนกูกว่าตัวกูอีก เค้าไม่ควรเอาตัวมาเสี่ยงกับกูเลย กูมานั่งนึกดู ถ้าไม่ใช่แบล็คเมล์มึงแต่เป็นผู้อิทธิพลคนอื่น แล้วหากเกิดพลาดขึ้นมาก็คงตายทั้งคู่แล้ว ยังดีที่รอดมาได้ กูจะไปหาเงินมาใช้หนี้โต๊ะบอลเอง . . . . . . . มีเรื่องจะพูดเท่านี้แหละ” พูดจบเขาก็คว้ากางเกงยีนส์ของตัวเองนุ่งกลับ และจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย


“มีอะไรอยากถามนายสักอย่าง” ผมลองถามขึ้นมาเล่น ๆ ฆ่าเวลาขณะแจ็คกำลังแต่งตัว


“นายเคยสนิทกับไม้อยู่พักหนึ่งใช่ไหม?”


“หมาย ถึงโพดำรุ่นเราน่ะเรอะ” เขาตอบพลางออกแรงโน้มตัวลงสวมเสื้อยืดเข้ารูปอย่างลำบากเล็กน้อย ตามด้วยเสื้อคลุมทับเป็นอันเสร็จสิ้น แจ็คลุกหันมาประสานสายตากับผม ช่างเป็นแววตาที่แน่วแน่ชวนท้าทายความรู้สึกยิ่งนัก


“กูรู้นะไอ้เต๋อว่ามึงคิดอะไรอยู่ จะตามหามันเพื่อจัดการอย่างที่ทำกับกูใช่รึเปล่า” เขาชิงพูดขึ้นมาก่อนเหมือนเป็นฝ่ายอ่านใจผมแทน


“กูไม่ใช่คนขายเพื่อนเหมือนไอ้วีหรอกนะเว้ย”


แจ็คจ้องตาผมนิ่งเงียบรอดูท่าที ก็ยังคงเกรงอยู่บ้างว่าผมอาจสำแดงเดชอะไรออกมาอีก


“เป็น คำตอบที่ไม่เลว ถึงผมไม่ชอบ แต่ก็ยอมรับ” ผมยิ้มให้แจ็ค และให้เกียรติความแน่วแน่ของเขาด้วยการไม่ล้วงความลับโดยใช้อำนาจจิต จะยอมหลับตาข้างเดียวแล้วค่อยหาเบาะแสจากแหล่งอื่นสักครั้งก็ได้
.
.
.
.
.
แจ็ค ประคองไหล่แฟนสาวที่ร้องห่มร้องไห้อย่างเสียขวัญออกมาจากหลังร้าน น่าสงสารฝ่ายหญิงที่กลัวผมจนขวัญหนีดีฝ่อ ห้ามแม้แต่ไม่ให้สมองตัวเองคิดคำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะเกรงจะสร้างความไม่พอใจให้กับผม พวกเขาขอตัวลาทันทีแม้จะดึกถึงตีสามแล้ว


“กูจะไปหาเงินใช้หนี้บอล จะไม่รบกวนมึงอีกแล้ว ขอให้หายกัน ทั้งเรื่องวัยเด็กและเรื่องแบล็คเมล์”


“คนเราพอจนตรอก เหี้ยแค่ไหนก็ต้องทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น” ผมทวนคำพูดแจ็คขึ้นมาอีกรอบ


“ประชดอะไรกูอีกวะ! ยังไม่จบอีกเหรอ!” แจ็คเขม็งผม

.
.
.
“เปล่า”
.
.
.

“อย่าพูดแบบนั้นกับตัวเองอีก เพราะนายไม่ใช่คนประเภทนั้น นายไม่ขายคนรัก นายไม่ขายเพื่อน”
.
.
.
.
ผมยื่นกระเป๋าบรรจุเงินห้าแสนส่งให้แจ็ค
.
.
.
.
“คิดเสียว่าเป็นค่าตัวนายแบบที่แพงที่สุดครั้งนึงในวงการหนังสือใต้ดินก็แล้วกัน แต่คงห้ามไม่ให้ตีพิมพ์ไม่ได้
ทางนั้นเองเขาก็เสียค่าใช้จ่ายเยอะ เอาเป็นว่าถ้ามีคนทักถึงเรื่องนั้นก็บอกเขาไปว่าแค่หน้าคล้ายกัน”
.
.
.
.
เดิมที ผมตั้งใจจะเอารูปพวกนั้นไปประจานเพิ่มอีกรอบในวงการให้แจ็คต้องออกจากธุรกิจ แอนนาเบลล์ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่แจ็คแสดงออกมาทำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนวิธีกะทันหัน
.
.
.
“ไอ้ เต๋อ!!” แจ็คโผเข้ากอดผมแล้วร้องไห้น้ำตานองหน้า ไม่รู้เพราะซึ้งใจหรือโล่งใจที่ได้เงินก้อนใหญ่ไปล้างหนี้ ถ้าคิดอย่างมนุษย์ทั่วไปก็น่าจะมีความรู้สึกทั้งสองด้านผสมกันไป ผมลูบหลังให้เขาแทนคำพูด มันยังเกินเร็วไปสำหรับผมที่จะรับเอาความรู้สึกดีงามซึมซับเข้ากมลสันดาน เพราะผมยังต้องการความแค้นเป็นพลังงานขับเคลื่อนต่อไปให้ถึงจุดหมายที่วาง ไว้

.
.
ขณะ ที่แจ็คสวมกอดผม ผมกระซิบถ่ายทอดคำสั่งให้เขาลืมเรื่องของผมทั้งหมด รวมถึงสั่งให้แอนลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน และยังให้แจ็คลาออกจากธุรกิจแอนนาเบลล์เพราะเราไม่สมควรมีโอกาสพบเจอกันอีก ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม
และสุดท้าย
.
.
.
“ขอให้นายเลิกการพนันทุกชนิดตลอดชีวิตนะ”
.
.
.

นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมมอบให้เขาได้ ในฐานะเพื่. . . . .ลูกหนี้ชั้นดีซึ่งต่างจากคนอื่นกระมัง

เกือบตีสี่วันเดียว กัน ผมขับรถมาส่งวีถึงบ้านหลังเดิม ไอ้หลังที่ผมเคยบุกเข้าไปก่อเรื่องนั่นแหละ ระหว่างทางผมรู้สึกว่าวันนี้วีรวุฒิมีอะไรต่างจากทุกที เขาคิดในใจน้อยลงจนผิดธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป แต่ก็อาจเป็นเพราะระแวงว่าผมจะล้วงความลับอีกก็ได้ ซึ่งก็คงไม่แปลกหากใครคนหนึ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายใช้โทรจิตอ่านใจคนได้


ก่อนจากกัน วีถามผมเป็นการทิ้งทวนว่า


“ไอ้เต๋อ ขอถามอีกแค่อย่างเดียว แม้กูจะรู้ว่าเดี๋ยวมึงจะลบความจำกูก็ตาม ขอให้มึงตอบตามตรง”


“. . . . . . .” ผมเงียบ ไม่รู้จะถามให้มันได้อะไรขึ้นมาในเมื่ออีกชั่วครู่ก็ต้องลืมหมดแล้ว


“เรื่องปรียาน่ะ ต้นเหตุมาจากมึงใช่ไหม”
.
.
.

ผมแสยะยิ้มแทนคำตอบให้เขาตีความเอาเอง
.
.
.
.
จากนั้นความทรงจำเกี่ยวกับผมทั้งหมดในหัวของวีรวุฒิได้ถูกลบล้างออกไป เขามีอาการสะลึมสลือ เดินโงนเงนจนลับตาหายเข้าไปในบ้าน
.
.
.
.
.
ผม ขับรถจากบ้านของวีกินเวลาจนถึงตอนนี้ก็ปาไปจะตีสี่ครึ่งแล้ว ถนนเส้นนี้เปลี่ยววังเวงแต่ก็จำเป็นต้องผ่านเพราะเป็นทางลัด สองข้างทางมีแต่กอหญ้าสูงท่วมศีรษะ ไม่อย่างนั้นก็เป็นพุ่มไม้รกร้าง มีรายงานพบศพเด็กสาวถูกฆ่าข่มขืนโผล่ปรากฏในละแวกนี้เป็นเครื่องเตือนสติปี ละครั้งสองครั้ง ส่วนผมคงไม่เดือดร้อนใจเท่าไหร่นัก พวกอาชญากรต่างหากที่น่าเป็นห่วงถ้าได้เจอกับผม
.
.
.
ขณะที่ผม ป้องปากเก็บอาการหาวนั้นเอง รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นสวนมาอย่างไม่ให้ซุ้มเสียง ทั้งคนขี่และคนซ้อนสวมหมวกกันน็อคอำพรางใบหน้า ในมือคนซ้อนถือก้อนหินขนาดเหมาะมือ ผมไม่สามารถครองจิตพวกมันได้ทันเนื่องจากมันเกิดขึ้นเร็วมากจนแทบไม่ต่างจาก ใช้มือเปล่าจับปลาไหล


พริบ ตานั้น เจ้าคนซ้อนชูนิ้วกลางให้ผมก่อนจะเขวี้ยงก้อนหินนั้นตรงมายังตำแหน่งคนขับ ทุกอย่างเกิดขึ้นชั่วอึดใจแต่รู้สึกนานเหมือนผ่านไปหลายนาที ผมหักพวงมาลัยหลบจนล้อส่งเสียงครูดลากยาวไปกับแรงเสียดสีพื้นถนน วัดดวงกันว่าจะอยู่หรือตายกันไปเลย
.
.
.

น่าประหลาดใจ เมื่อผมตั้งสติได้และเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีแต่ความว่างเปล่า ว่างเปล่าจริง ๆ


ผม มองผ่านกระจกรถสำรวจทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง ต่างไร้วี่แววของก้อนหินที่ใช้เป็นอาวุธและแก๊งค์ปาหินกับมอเตอร์ไซค์ กระจกรถทุกบานก็ยังอยู่ในสภาพดี ราวกับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นภาพลวงตา


บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง หรือไม่ก็ละแวกนี้เคยมีเหตุการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับคนขับมอเตอร์ไซค์มาก่อน

แต่จะอย่างไรก็ตามมันคงไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่นัก ผมควรจะออกจากบริเวณนี้โดยเร็วที่สุด
.
.
.
.
.
.
“โอยยยยยยย ช่วยด้วย”


“ยังมีชีวิตอยู่อีกเรอะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้อย่างสุขุม


“พี่ ครับ ช่วยผมด้วย พวกผมรถคว่ำ” เด็กหนุ่มตัวผอมโย่ง คนซ้อนในแก๊งค์ปาหินถอดหมวกกันน็อคออกเพื่อส่งเสียงขอความช่วยเหลือได้สะดวก ยิ่งขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับตอบสนองด้วยแววตาเย็นชา


"หึ หึ หึ รถไม่ได้คว่ำหรอก ฉันเป็นคนลากพวกแกมาเชือดที่นี่ต่างหาก" เขากระแอมหัวเราะอย่างสมเพช


“หินก้อนไหนที่แกใช้ปาใส่รถคันเมื่อกี้” ชายหนุ่มถามต่อทันทีด้วยเสียงอันดุดัน


“ผม ไม่รู้ ช่วยผมด้วย” เด็กผอมโย่งยังคงนอนกุมบาดแผลด้วยความเจ็บปวด ดูท่าเขาคงไม่อยากพูดถึงเรื่องอื่นนอกจากได้รับความช่วยเหลือ ขณะที่เพื่อนผมทองอีกคนหมวกกระเด็นออก นอนหายใจรวยรินอยู่ห่างกันไม่กี่เมตร


“ฉันเฉลยให้ก็ได้ ก้อนที่อยู่บนหัวแกตอนนี้ไง”


เด็กโย่งรู้สึกได้ว่ามีวัตถุบางอย่างลอยเหนือศีรษะ มันคือก้อนหินที่เขาใช้ปาใส่รถบีเอ็มดับบลิวของเต๋อนั่นเอง


“บึ๊ก!” หินก้อนนั้นทิ้งตัวลงเต็มหน้าเด็กโย่ง เขาถึงกับชักกระตุกด้วยแรงกระแทก แต่หินก้อนนั้นยังไม่จบหน้าที่เพียงเท่านั้น มันลอยขึ้นกลางอากาศแล้วพุ่งเข้าโจมตีศีรษะเด็กโย่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“บึ๊ก! บึ๊ก! บึ๊ก!” หินดังกล่าวอาบเลือดแดงฉานเกือบทั่วทั้งก้อน เห็นแค่นั้นก็คงไม่ต้องบรรยายว่าตอนนี้เด็กโย่งจะอยู่ในสภาพเช่นไร


“โอย ยยย” เด็กผมทองคนขี่รถบาดเจ็บที่ขาทำให้ลุกขึ้นเดินไม่ได้ กระนั้นก็พยายามคลานตัวหนีตายเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองแน่นิ่งไปแล้ว และชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคงไม่ยอมให้มีการผ่อนปรนใด ๆ เป็นแน่


“กร๊อบ!” เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาหน้าหวาดเสียวจากอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตา เปล่า เด็กผมทองขาหักจนบิดได้รอบด้านทั้งสองข้าง แม้แต่จะคลานยังกลายเป็นเรื่องลำบากแล้ว


“รู้ ตัวหรือเปล่าว่าเมื่อกี้พวกแกกำลังจะทำลายสายเลือดแห่งอนาคต ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าเอาแกสองคนพ่วงญาติย้อนหลังเจ็ดชั่วโคตรเสียอีก” ชายหนุ่มใช้เท้าเหยียบกลางหลังเด็กผมทองเป็นการตรึงให้อยู่กับที่


“อย่า! พี่! ผมกลัวแล้ว!” เขาร้องขอชีวิต และชายหนุ่มก็ได้ตอบสนองทันที ด้วยการทำให้เด็กผมทองหลุดพ้นจากความกลัวชั่วนิรันดร์
.
.
.
.
.
.
วันรุ่งขึ้น ชาวบ้านพบศพเด็กทั้งสองในสภาพน่าสยดสยอง คนหนึ่งถูกหินทุบจนใบหน้าเลือดอาบเละเทะ กะโหลกยุบ สมองไหลนองพื้น
.
.
.
ส่วนอีกคนหนึ่งแขน ขา และคอหมุนได้รอบ หักมุมไปคนละทิศทางคล้ายเครื่องหมายสวัสดิกะ เป็นภาพชวนขนลุกที่พิสดารยากเกินบรรยาย
.
.
.
จบตอนที่ 7 นายแบบมือสมัครเล่น